กรมสุขภาพจิต เผยทุก 1 ชั่วโมง คนไทยก้าวเข้าสู่วัยสูงอายุ 91 คน พบป่วยโรคสมองเสื่อมแล้ว 6 แสนคน หรือ 6 คนในผู้สูงอายุทุก 100 คน กรมสุขภาพจิตผุดนวัตกรรม แบบคัดกรองโรคสมองเสื่อม ฉบับชาวบ้านไทย มาตรฐานสากล รู้ผลใน 4 นาที
น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ผู้สูงอายุไทยที่มีสัดส่วน เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในทุก 1 ชั่วโมงจะมีคนไทยอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ประมาณ 91 คน คาดว่าในปี 2573 สัดส่วนจำนวนผู้สูงอายุจะเพิ่มเป็นร้อยละ 25 หรือเพิ่มขึ้น 2 เท่าตัวจากปี 2553 ที่มีร้อยละ 11.9 กลายเป็นสังคม ผู้สูงอายุเต็มตัว จะส่งผลกระทบตามมาหลายด้าน เนื่องจากผู้สูงอายุเป็นวัยที่มีความเสื่อมของร่างกายเป็นไปตามวัย โรคที่จะมีความสำคัญเพิ่มขึ้นตามลักษณะสังคมผู้สูงอายุคือโรคสมองเสื่อม (Dementia) สาเหตุที่พบมากที่สุด ประมาณร้อยละ 60 เกิดจากโรค อัลไซเมอร์ (Alzheimer Disease : AD) นอกจากจะมีอาการหลงลืมแล้ว อาจมีความผิดปกติ ทางพฤติกรรมหรือมีอาการทางจิต เช่น หวาดระแวง หูแว่วร่วมด้วย ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและเป็นภาระต่อผู้ดูแลอย่างมาก
"ขณะนี้พบผู้สูงอายุไทยป่วยโรคสมองเสื่อมร้อยละ 6.3 หรือประมาณ 6 แสนคน กล่าวคือ พบได้ 6 คนในผู้สูงอายุทุกๆ 100 คน ยิ่งอายุมากความเสี่ยงจะสูงขึ้น โรคนี้แม้รักษาไม่หายขาด แต่สามารถชะลอความรุนแรงของโรคได้ กรมสุขภาพจิตได้ดำเนินการพัฒนาระบบการเฝ้าระวังปัญหาโรคสมองเสื่อมให้สามารถรู้สัญญาณของโรคได้อย่างรวดเร็ว จึงได้พัฒนาแบบตรวจคัดกรองง่ายๆ เพื่อให้ผู้ที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขนำไปใช้ได้ เช่น อาสาสมัครสาธารณสุขหรือ อสม. อาสาสมัครประจำครอบครัวหรือ อสค. หรือประชาชนทั่วไปที่มีผู้สูงอายุอยู่ในบ้าน ทั้งที่ช่วยเหลือตนเองได้และนอนติดเตียง หรืออยู่ติดบ้าน" อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าว
อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าวว่า แบบคัดกรองโรคสมองเสื่อม (Dementia Screening Tool : DST) ดังกล่าวมีจุดเด่นคือ สั้น ใช้ง่าย ใช้ข้อคำถามเพียง 4 คำถาม เพื่อประเมินสภาวะของสมอง ทั้งเรื่องความจำ ความคิด พฤติกรรม รวม 8 คะแนน สามารถประเมินและรู้ผลภายใน 4 นาที การแปลผล หากได้ต่ำกว่า 5 คะแนน แสดงว่าอาจมีปัญหาการทำงานของสมอง จะต้องส่งพบเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาต่อเนื่อง แบบทดสอบนี้ได้นำไปทดสอบใช้ในภาคสนาม พบว่ามีความแม่นยำสูงตามมาตรฐานสากล โดยกรมสุขภาพจิตจะเริ่มใช้ทั่วประเทศตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ 2561 เป็นต้นไป ทั้งนี้ จะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อนำไปใช้ตรวจคัดกรองผู้สูงอายุที่อยู่ในความดูแลด้วย
นายแพทย์จุมภฏ พรมสีดา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสวนสราญรมย์ จ.สุราษฎร์ธานี โรงพยาบาลสังกัดกรมสุขภาพจิตที่มีความเชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตและจิตเวชผู้สูงอายุ กล่าวว่า ลักษณะของการเกิดโรคอัลไซเมอร์จะเริ่มขึ้นอย่างช้าๆ ใช้เวลาเป็นปีๆ เริ่มจากมีอาการหลงลืม หรือจำไม่ได้ว่าเพิ่งทำอะไรมา แล้วตามด้วยอาการอื่นๆ ทำให้ผู้ดูแลไม่สามารถสังเกตเห็นความผิดปกติได้ ผู้ป่วยที่มาพบแพทย์ขณะนี้ประมาณร้อยละ 80 จะมีอาการรุนแรงไปแล้ว ทำให้การชะลอความเสื่อมได้ผลน้อยมาก การมีแบบคัดกรองนี้จะช่วยให้เรารู้สัญญาณอาการของโรคได้ตั้งแต่เนิ่นๆ อาจจะใช้ตรวจทุก 6 เดือน เพราะไม่ต้องลงทุนอะไรมาก ใช้เพียงกระดาษแผ่นเดียว จึงมั่นใจว่าจะสามารถให้การดูแลผู้สูงอายุที่เป็นโรคสมองเสื่อมได้ตั้งแต่เริ่มมีอาการแรกๆ สามารถชะลอความรุนแรง ผู้สูงอายุมีสุขภาพจิตมีคุณภาพชีวิตดีช่วยลดภาระญาติและครอบครัวได้ เพราะผู้สูงอายุที่เป็นโรคนี้แล้วจะทำให้ครอบครัวมีค่าใช้จ่ายดูแลเดือนละ 1-2 หมื่นบาทต่อคน
นพ.ธิติพันธ์ ธานีรัตน์ ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลจิตเวชนครสวรรค์ราชนครินทร์ ผู้พัฒนาแบบคัดกรองภาวะสมองเสื่อม กล่าวว่า การพัฒนาครั้งนี้ดำเนินการตามหลักมาตรฐานสากลในช่วงปี 2558-2559 ภายใต้การสนับสนุนจากโรงพยาบาลสวนสราญรมย์ โดยประยุกต์คำถามให้ใกล้เคียงกับวิถีชีวิต และความคุ้นเคยของคนไทยมากที่สุด คำถาม 4 ข้อมีดังนี้ ข้อ 1.ให้ผู้ทดสอบอ่านชุดคำคือ "ต้นไม้ รถไฟ มือ" ทั้ง 3 คำอย่างช้าๆ ห่างกันคำละ 1 วินาที ด้วยระดับเสียงดัง เพื่อให้ผู้สูงอายุที่ถูกทดสอบได้ยินอย่างชัดเจน จนกระทั่งทวนคำได้ถูกต้อง ข้อนี้ไม่คิดคะแนน ข้อ 2.ให้คิดคำนวณเลข 100 ลบด้วย 7 หรือ 20 ลบด้วย 3 ไปเรื่อยๆ 3 ครั้ง แต่ต้องใช้เวลาคิดและตอบภายในไม่เกิน 1 นาที ตอบถูกให้ 1 คะแนน ข้อ 3.ให้ผู้สูงอายุวาดรูปหน้าปัดนาฬิกา มีเข็มนาฬิกาและตัวเลขครบถ้วน ให้บอกเวลา 11.10 น. หากถูกต้องให้ 2 คะแนน ค่าเวลานี้เป็นที่ยอมรับทั่วโลกว่าไวต่อการใช้ตรวจจับสัญญาณโรคสมองเสื่อมได้ดีที่สุด และข้อที่ 4.ถามถึงคำ 3 คำ ที่ผู้ทดสอบได้เคยอ่านให้ฟังมาแล้วข้อ 1. คือ ต้นไม้ รถไฟ มือ เพื่อทดสอบความจำ ให้คำละ 1 คะแนน ทั้งหมดมีคะแนนรวม 8 คะแนน หากทำได้มากกว่า 5 คะแนน ถือว่าปกติ หากได้น้อยกว่า 5 คะแนน แสดงว่าอาจมีปัญหา ในการทำงานของสมอง จะต้องส่งพบแพทย์ที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจวินิจฉัยโรค
"ได้นำแบบคัดกรองนี้ไปทดลองใช้กับผู้สูงอายุจำนวน 400 คนที่ จ.สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต ระนอง กระบี่ นครศรีธรรมราช ชุมพร และพังงา ส่วนใหญ่มีโรคประจำตัว 3 อันดับแรกคือ ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และไขมันในเลือดสูง ประมาณ 2 ใน 3 จบชั้น ป.4 หรือต่ำกว่า รายได้ครอบครัวต่ำกว่า 5,000 บาท ผลการทดสอบ พบว่าให้ความแม่นยำสูงตามค่ามาตรฐานสากล และทุกคำถามมีความเหมาะสม เมื่อเทียบกับการวินิจฉัยโรคสมองเสื่อมโดยจิตแพทย์และแพทย์ระบบประสาท พบว่าให้ความแม่นยำสูงถึงร้อยละ 80 ถือว่าสูงมาก ผลดีของการใช้แบบคัดกรองนี้ จะช่วยให้เราค้นหาผู้สูงอายุกลุ่มนี้ได้ตั้งแต่เริ่มเป็นใหม่ๆ จะสามารถตรวจวินิจฉัยและรู้โรคสมองเสื่อมได้เร็ว ส่งผลให้การรักษาเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ประการสำคัญยังเป็นการพัฒนาและ ส่งเทคโนโลยีอย่างง่ายๆ มาให้ประชาชนทั่วไปได้ใช้ประเมินปัญหาการเจ็บป่วยของตัวเองและผู้สูงอายุในขั้นต้นได้ เพิ่มประสิทธิภาพของระบบการส่งเสริมสุขภาพดีและป้องกันโรค ช่วยยกระดับระบบบริการสาธารณสุข ของประเทศไทยก้าวสู่ยุค 4.0 อย่างแท้จริง" นพ.ธิติพันธ์กล่าว
ที่มา ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน
http://www.thaihealth.or.th