ปัจจุบัน โรคข้อเข่าเสื่อม เป็นปัญหาใหญ่ของกลุ่มคนผู้สูงวัยที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และพบเป็นโรคดังกล่าวมากขึ้นกว่าเดิมถึง 10 เปอร์เซ็นต์ ทั้งยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนใหญ่แล้วมักจะพบมากในผู้สูงอายุผู้ที่ใช้ข้อเข่านานๆ และผู้ที่เป็นโรคอ้วน ซึ่งเกิดจากการเสื่อมสภาพของกระดูกอ่อนผิวข้อ อันเนื่องมาจากมีอายุมาก หรือมีการฉีกขาดและการถูกทำลายของพื้นผิวกระดูกอ่อนของข้อต่อ ทำให้เกิดอาการปวดเวลาขยับหรือลงน้ำหนัก เพราะเมื่อน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 1 กิโลกรัม (กก.) นั่นหมายถึงหัวเข่าต้องรับน้ำหนักเพิ่มขึ้นถึง 4 กก. (เฉลี่ยข้างละ 2 กก.) เพราะฉะนั้นถ้าน้ำหนักเพิ่มขึ้น 10 กก. หัวเข่าจะต้องรับน้ำหนักเพิ่มขึ้นถึง 40 กก.
ผลสำรวจจากทั่วโลกพบว่าในคนที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป 100 คน เสี่ยงต่อการเป็นโรคข้อเข่ามีถึง 33 คน โดยในจำนวนนี้เป็นผู้หญิง 19 คน และผู้ชาย 14 คน และยังพบอีกว่าเกือบ 100% ของคนที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไป เสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วน
ด้วยเหตุดังกล่าว ล่าสุดจึงได้มีงานวิจัยซึ่งเป็นทางเลือกใหม่ในการรักษาโรคดังกล่าวนี้ขึ้นมารองรับ นั่นคือ การปลูกถ่ายกระดูกอ่อนจากสเตมเซลล์เลือดโดยการผ่าตัดผ่านกล้องวีดิทัศน์ ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์กับผู้ป่วยอย่างมหาศาล เพราะนอกจากจะช่วยลดความเจ็บปวดแล้ว ยังช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นตามธรรมชาติ เนื่องจากโดยปกติแล้วกระดูกอ่อนของคนเราเมื่อเกิดปัญหาหรือเสื่อมจะไม่สามารถรักษาได้รอเพียงแค่เวลาให้เสียไปเพียงอย่างเดียว
ทีมแพทย์
ขณะเดียวกันยังช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายอีกด้วย โดยมีข้อมูลระบุว่า ปัจจุบันมีประชากรกว่า 1 ล้านคน ที่อายุมากกว่า 60 ปี ต้องรักษาโรคดังกล่าวโดยใช้งบประมาณของประเทศปีละกว่า 3,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากสถิติพบว่ามีผู้ป่วยสูงอายุกว่า 10,000 ราย ที่ต้องทำข้อเทียม และ 1 ใน 3 ที่รับการผ่าตัดมีอายุน้อยกว่า 60 ปี ซึ่งโดยอายุการใช้งานของข้อเทียมที่ทำจากเหล็กและไทเทเนียม ใช้ได้เพียง 10 ปี นั่นหมายความว่า ผู้ที่เป็นข้อเสื่อมและรับการผ่าตัดใส่ข้อเทียมไปแล้ว เมื่ออายุ 70 ปีก็ต้องกลับมาทำใหม่ ส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายที่สูญเสียไปถึง 3 เท่า
จึงเป็นที่มาของแนวคิดที่จะพัฒนานวัตกรรมของสเตมเซลล์จากกระแสโลหิต โดย บริษัท ไทย สเตมไลฟ์ จำกัด ได้รับการอนุมัติจากแพทยสภา และได้ทดลองกับผู้ป่วยไปแล้ว 20 ราย ในระยะเวลา 1 ปี จากการสำรวจพบว่าผู้ป่วยทั้งหมดไม่มีผลข้างเคียงใดๆ อีกทั้งยังสามารถกลับไปเดินได้ดังเดิม
นพ.ดร.คอนสตานตินอส พาพาโดพูลอส (Dr.Kostas l. Papadopoulos) หรือ "ดร.คอสตาส" ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัยและพัฒนาทางการแพทย์ บริษัท ไทย สเตมไลฟ์ กล่าวว่า
"การรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการใดที่จะช่วยเพิ่มกระดูกอ่อนได้ นอกจากเปลี่ยนเข่า หรือใช้วิธีเปลี่ยนองศากระดูก ซึ่งอันที่จริงแล้วการรักษาที่ดีที่สุดคือการรักษาด้วยระบบของร่างกายเราเอง บริษัท ไทยสเตมไลฟ์ ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนแห่งแรกของประเทศไทยที่ให้บริการเก็บแช่แข็งเซลล์ต้นกำเนิด (สเตมเซลล์) จึงได้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม โดยการฉีดสเตมเซลล์จากกระแสโลหิตผ่านกล้องเข้าไปที่ข้อเข่าของผู้ป่วยเพื่อเพิ่มกระดูกอ่อน
ปรากฏผลเป็นที่น่าพอใจ อาการของทุกคนดีขึ้นมาก สามารถกลับมาเดินได้เป็นปกติ เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าสเตมเซลล์ของตัวเราสามารถรักษาตัวเราได้จริง"
ดร.คอสตาสบอกอีกว่า สำหรับคนที่มีอายุ 30-40 ปี ถ้าพบว่าคนในครอบครัวเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม แนะนำให้ตรวจยีนเพื่อดูความเสี่ยงของโรคในอนาคต ซึ่งถ้าพบว่ามีความเสี่ยงก็ควรที่จะเก็บสเตมเซลล์ตั้งแต่ยังอายุน้อยๆ เพราะจะทำให้ได้สเตมเซลล์ที่แข็งแรงและมีประสิทธิภาพมากกว่าการเก็บตอนที่มีอายุมากขึ้น โดยที่สเตมเซลล์ของตนเองที่เก็บไว้สามารถนำมาให้เพื่อการรักษาโรคชนิดอื่นๆ อีกถึง 24 ชนิด รวมถึงโรคเลือดด้วย
"การใช้สเตมเซลล์ที่ดีที่สุด คือสเตมเซลล์ของตัวเอง เพราะไม่เกิดการต่อต้านและปลอดภัย และไม่ต้องจับคู่เนื้อเยื่อจากคนอื่น เนื่องจากมาจากตัวผู้ป่วยเอง แต่ถ้านำสเตมเซลล์ของคนอื่นมาใช้ต้องใช้ยากดภูมิเพื่อไม่ให้มีผลกระทบกับร่างกาย"
การรักษาด้วยสเตมเซลล์จึงถือได้ว่าเป็นอีกทางเลือกใหม่สำหรับผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อม ที่จะกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีอีกครั้ง
หน้า 21,มติชนรายวัน ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน 2555
ข้อมูลจาก มติชนออนไลน์
www.matichon.co.th วันที่ 01 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 เวลา 10:00:48 น.