วัคซีนที่จำเป็นสำหรับผู้ใหญ่
เรามักคุ้นเคยกับการรับวัคซีนหลายๆ ชนิดในวัยเด็ก เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันโรคที่มีความอันตราย เสี่ยงต่อพัฒนาการ และคุณภาพชีวิต
แม้ในวัยผู้ใหญ่การฉีดวัคซีนก็ยังมีความสำคัญไม่แพ้กัน เนื่องจากภูมิคุ้มกันบางโรคที่เคยได้รับในวัยเด็กอาจ “เสื่อม” ไปตามอายุที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งโรคภัยไข้เจ็บสมัยนี้ยังมีความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมมาก จึงมีการคิดค้นและพัฒนาวัคซีนออกมารับมือกับเชื้อโรคสายพันธุ์ใหม่ๆ อยู่เรื่อยๆ
การฉีดวัคซีนในผู้ใหญ่จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรังที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อง่าย หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ (อายุ 65 ปีขึ้นไป) และผู้ที่เดินทางบ่อย ซึ่งควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษ
วัคซีนที่จำเป็นสำหรับผู้ใหญ่และผู้สูงอายุมีอะไรบ้าง
1.วัคซีนป้องกันโรคบาดทะยัก (Tetanus vaccine) และคอตีบ (Diphtheria vaccine)
โรคบาดทะยัก
เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Clostridium tetani เข้าสู่ร่างกายได้ทางบาด แผลเปิด จากนั้นจะสร้างสารที่มีพิษต่อเส้นประสาททำให้กล้ามเนื้อเกิดการหดเกร็งทีละน้อยเริ่มจากแผล กล้ามเนื้อรอบๆ และทั่วทั้งตัว จนเกิดอาการชักเกร็ง ระบบหายใจล้มเหลว และเสียชีวิตในที่สุด
โรคนี้พบได้ในทุกช่วงอายุ ทุกเพศ และแม้จะเคยได้รับวัคซีนครบ 3 ครั้งแล้ว แต่ภูมิคุ้มกันโรคจะลดลงในช่วงอายุ 15-30 ปี จึงต้องฉีดกระตุ้น
คำแนะนำ : หญิงตั้งครรภ์ ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีบาดแผล หรือผู้ที่ทำงานเสี่ยงต่อการเกิดบาดทะยัก โดยฉีด 3 ครั้ง ครั้งที่ 2 ห่างจากครั้งแรก 1-2 เดือน และครั้งที่ 3 ห่างจากครั้งที่สอง 6-12 เดือน และฉีดกระตุ้นทุกๆ 10 ปี
โรคคอตีบ
เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Chorynebacterium diphtheriae ติดต่อได้ง่ายผ่านลมหายใจ น้ำมูก การไอและจาม หลังได้รับเชื้อจะมีไข้ เจ็บคอมากขึ้นเรื่อยๆ คอบวม หายใจลำบาก เสียงแหบขึ้นๆ อาการอาจรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
โรคนี้พบได้ในทุกช่วงอายุ ทุกเพศ โดยเฉพาะผู้ที่ไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันและอยุู่ในสภาพแวดล้อมที่แออัด
คำแนะนำ : หญิงตั้งครรภ์ ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ และแนะนำให้ฉีดกระตุ้นทุก 10 ปี
(หมายเหตุ : ในทางเวชปฏิบัติจึงมีการให้วัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักและโรคคอตีบ (tetanus diphtheria toxoid :Td) ทุก 10 ปี แทนการให้วัคซีนป้องกันโรคบาดทะยัก ( tetanus toxoids: TT) เพียงชนิดเดียว)
2.วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ (Influenza vaccine)
เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Influenza มี 2 สายพันธุ์สำคัญคือ A และ B ติดต่อผ่านน้ำลาย น้ำมูก การหายใจ และการสัมผัสผ่านเครื่องใช้ที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส หลังได้รับเชื้อจะมีไข้ ไอ เจ็บคอ มำน้ำมูก อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดศีรษะ หนาวสั่น บางรายอาจมีอาการแทรกซ้อนรุนแรงนำไปสู่การเสียชีวิตได้
โรคนี้พบได้ในทุกช่วงอายุ ทุกเพศ โดยเฉพาะผู้ที่ไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันมาก่อน
คำแนะนำ : ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ รวมทัังผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น หัวใจ โรคหอบหืด โรคถุงลมโป่งพอง โรคเบาหวาน โรคไตวายเรื้อรัง รวมถึงผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ควรแนะนำฉีดกระตุ้นทุก 1 ปี
3.วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B vaccine)
เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBV) ติดต่อได้ทั้งทางเลือด (การได้รับเลือด และจากมารดาสู่ทารก) การสัก การเจาะหู และการฝังเข็ม และสารคัดหลั่งในการมีเพศสัมพันธ์ หลังได้รับเชื้อจะมีอาการอ่อนเพลียคล้ายเป็นหวัด คลื่นไส้ อาเจียน จุกแน่นใต้ชายโครงขวา ปัสสาวะเข้ม ตาเหลือง บางรายอาจมีอาการตักเสบร่วมด้วยหากรุนแรงอาจทำให้เซลล์ตับตาย ตับแข็ง และเป็นมะเร็งตับได้
พบได้ในทุกช่วงอายุ ทุกเพศโดยเฉพาะผู้ที่ไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันมาก่อน
คำแนะนำ : ผู้ใหญ่ (โดยเฉพาะผู้ที่ตรวจเลือดแล้วไม่พบการติดเชื้อมาก่อน) ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น หัวใจ โรคหอบหืดโรคถุงลมโป่งพอง โรคเบาหวาน โรคไตวายเรื้อรังที่ต้องฟอกไต ผู้ที่รับเลือดบ่อย ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยที่รับเลือดบ่อย ผู้ที่มีคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ โดยฉีด 3 ครั้ง ครั้งที่ 2 ห่างครั้งแรก 1-2 เดือน ครั้งที่ 3 ห่างครั้งแรก 6 เดือน
4.วัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบ (Pneumococcal vaccine)
โดยมากเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย S.pneumoniae ติดต่อได้ทางการหายใจ การสำลักเชื้อที่สะสมอยู่บริเวณทางเดินหายใจส่วนบนลงสู่ปอด การติดเชื้อในกระแสเลือด การใส่สายสวนปัสสาวะ ยาเคมีบำบัด หากติดเชื้ออย่างรุนแรงอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้
คำแนะนำ : ผู้ใหญ่อายุ 50 ปีขึ้นไป ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น
หัวใจ โรคหอบหืด โรคถุงลมโป่งพอง โรคเบาหวาน โรคไตวายเรื้อรัง โรคตับแข็ง ผู้ที่ตัดม้าม ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน รวมถึงผู้สูบบุหรี่เป็นประจำ
5.วัคซีนป้องกันงูสวัด(Zoster vaccine)
เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Varicella Virus ชนิดเดียวกับที่ก่อให้เกิดโรคอีสุกอีใส ติดต่อได้ทางการหายใจ การสัมผัสตุ่มน้ำอีสุกอีใสโดยตรงทำให้เป็นโรคอีสุกอีใสก่อน
แม้จะหายจากอีสุกอีใสแล้วแต่เชื้อไวรัสจะยังซ่อนตัวอยู่ในปมประสาท ไม่แสดงอาการใดๆ จนกว่าร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันต่ำกว่าปกติ เชื้อไวรัสจึงแบ่งตัวทำให้เส้นประสาทอักเสบ มีอาการปวดแสบปวดร้อนตามแนวเส้นประสาท มีผื่นแดงขึ้นตามแนวและแตกเป็นแผล สำหรับผู้ป่วยที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยที่ได้รับเคมีบำบัดมักมีอาการแทรกซ้อนได้มาก เช่น ปวดแนวเส้นประสาทหลายปี ติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำ ตาอักเสบ ภาวะแทรกซ้อนทางหู รวมทั้งสมองและปอดอักเสบได้
คำแนะนำ : ผู้ใหญ่อายุ 60 ปีขึ้นไป เพราะเป็นช่วงอายุที่มีความเสี่ยงสูง และอาการของโรคจะรุนแรงมาก สำหรับผู้มีอายุ 50-59 ปี ควรปรึกษาแพทย์ เนื่องจากวัคซีนนี้สามารถป้องกันโรคงูสวัดได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในช่วง 5 ปีแรก แนะนำฉีดเพียงครั้งเดียวไม่ต้องฉีดกระตุ้นซ้ำ นอกจากนี้ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยที่ได้รับเคมีบำบัดยังควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันด้วย
ตารางสรุปช่วงอายุและชนิดวัคซีนที่ควรฉีด
“การป้องกันโรค” มีความสำคัญมากกว่าการรักษา เพราะเมื่อไม่ป่วยก็ไม่เสียสุขภาพ ไม่เสียเวลา และไม่เสียกำลังทรัพย์ การฉีดวัคซีนป้องกันโรคจึงเป็นหนึ่งในการดูแลสุขภาพที่คุณไม่ควรมองข้าม
ข้อมูลจาก
https://www.honestdocs.co/adults-vaccine-58005279