วันนี้ (12 มิถุนายน 2563) เวลา 12.00 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงผลการหารือโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) (ศบค.) สรุปสาระสำคัญดังนี้
โฆษก ศบค. เผย ที่ประชุม ศบค. มีมติให้ยกเลิกการห้ามออกนอกเคหสถาน แต่ยังคงมาตรการควบคุมการเดินทางเข้าออกราชอาณาจักรทั้งทางบก/น้ำ/อากาศ เห็นชอบมาตรการผ่อนคลายในระยะที่ 4 โดยจะมีการบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน โดยรายละเอียดของการผ่อนผัน ผ่อนคลาย ได้แก่ การผ่อนผันการใช้อาคารสถานที่โรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา หน่วยงานราชการ หน่วยงานในกำกับของรัฐ สำหรับการเรียน การสอน อบรม สัมมนา ในรูปแบบวิถีใหม่ ให้การใช้อาคารสถานที่เพื่อจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนประเภทนานาชาติ หรือสถาบันการศึกษาหลักสูตรนานาชาติ และโรงเรียนนอกระบบ ประเภทกวดวิชา สามารถเปิดทำการได้ โดยการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนในระบบที่มีนักเรียนรวมทั้งโรงเรียนไม่เกิน 120 คน รวมถึงโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน และสามารถเปิดการใช้อาคารสถานที่ของหน่วยงานราชการและหน่วยงานในกำกับของรัฐเพื่อการสอน สัมมนาในหลักสูตรฝึกอบรมที่หน่วยงานจัดขึ้นได้
การขนส่งสาธารณะข้ามเขตจังหวัด กรณีการเดินทางโดยเครื่องบินสามารถที่จะให้บริการได้เกือบปกติ ไม่จำเป็นต้องเว้นที่นั่ง เนื่องจากที่นั่งมีจำนวนน้อยและระยะเวลาการเดินทางไม่ถึง 1 ชั่วโมง แต่จะต้องใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่ขึ้นเครื่องบิน ในส่วนการโดยสารประเภทอื่น ๆ เช่น รถโดยสารประจำทาง รถปรับอากาศ รถตู้ระหว่างจังหวัด รถไฟ ให้ผู้โดยสารนั่งติดกัน 2 ที่นั่ง เว้น 1 ที่นั่ง จำกัดจำนวนไม่เกินร้อยละ 70 และให้รถโดยสารสาธารณะทางไกลจอดพักรถทุก 2 ชั่วโมง โดยจะต้องมีการลงทะเบียนเพื่อติดตามตัว
ในการประชุม นายกรัฐมนตรียังให้ข้อคิดเห็นยังกล่าวถึงการรายงานของศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงว่า การตรวจประเมินกิจการ/กิจกรรม ให้ไปในแต่ละสถานที่ต้องเปิดเผย มีกิริยามารยาทที่ดี รับฟังและอดทน หากแนะนำแล้วปรับปรุงไม่ได้ก็อาจจะต้องมีการปิดสถานที่นั้น หากกระทำซ้ำหรือมีเจตนาที่ไม่ดี ก็ต้องใช้มาตรการที่เข้มขึ้น ทั้งลงโทษหรือดำเนินคดี เพื่อให้มาตรการเป็นที่เชื่อถือและประชาชนมั่นใจ
โอกาสนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้นำเสนอ Travel Bubble หรือ การเปิดประเทศเพื่อการท่องเที่ยวอย่างจำกัด โดยเริ่มต้นด้วยการเลือกเป้าหมายประเทศที่มีความสามารถในการควบคุมการระบาดที่ดี มีการตรวจเชื้ออย่างเข้มงวดตั้งแต่ก่อนออกประเทศและตรวจซ้ำเมื่อถึงประเทศเรา ผู้ที่เดินทางต้องซื้อประกันสุขภาพ เบื้องต้นอาจเป็นนักธุรกิจหรือนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเฉพาะเจาะจง เช่น นักท่องเที่ยวที่จะมาเล่นกอล์ฟ เข้าพักในโรงแรมที่อยู่ในสนามกอล์ฟแล้วเดินทางกลับประเทศสามารถติดตามได้ เรียกว่า Track and Press ซึ่งติดตามผ่านการใช้โทรศัพท์มือถือหรือมีที่อยู่ติดต่อสามารถติดตามได้ทุกคน กลุ่มเป้าหมายคือ 1. กลุ่มนักธุรกิจที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายที่สูง มีการตัดสินใจเดินทางวางแผนเป็นลำดับและมีหนังสือรับรองจากบริษัทสามารถติดตามตัวได้ 2. กลุ่มที่มารับบริการการตรวจรักษาทางการแพทย์ หรือ Medical Tourist ที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายเฉลี่ยสูงกว่านักท่องเที่ยวทั่วไป มีความจำเป็นในการเดินทางเข้ามา สามารถติดตามจากประวัติการตรวจรักษาและหนังสือรับรองจากโรงพยาบาล ด้านประเทศกลุ่มเป้าหมาย เช่น จีน ฮ่องกง มาเก๊า เวียดนาม ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สปป.ลาว เมียนมา กัมพูชา ตะวันออกกลางบางประเทศ
ทั้งนี้ ผอ. ศบค. เห็นชอบในหลักการ โดยมอบหมายให้คณะกรรมการชุดย่อยหารือร่วมกันในการลงรายละเอียดตามมาตรการต่าง ๆ รวมทั้งวิธีการ เพื่อให้มั่นใจว่าประชาชนชาวไทยจะต้องได้รับผลประโยชน์จากการดำเนินการนี้ รวมทั้งประชาชนจะต้องเข้าใจด้วย เพราะเมื่อนักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าวเดินทางเข้ามาแล้วจะทำให้เกิดรายได้ แต่ก็ต้องมีการควบคุมโรคด้วย ไม่ใช่การนำเชื้อมาติดคนในประเทศ
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก