วันนี้ (13 ก.ค. 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ตอบคำถามสื่อมวลชนที่สอบถามผ่านโซเชียลมีเดียช่วงการแถลงข่าวของศูนย์ข่าวโควิด-19 และสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
โฆษก ศบค. ชี้แจงกรณีกลุ่มนักธุรกิจชาวปากีสถานจำนวน 27 ราย เดินทางเข้าสู่ประเทศไทย โดยทั้งหมดมีเอกสารรับรองการเดินทางครบถ้วน และผ่านการตรวจคัดกรองหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ก่อนเดินทางขึ้นเครื่องบิน แต่ยังมีนักธุรกิจอีก 8 ราย ที่ขาดเอกสารจากการประสานงานระหว่างหน่วยงานภายในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม โฆษก ศบค. ยืนยันว่าไม่ใช่การลักลอบหรือหลบหนีเข้าประเทศ แต่เป็นเพียงความล่าช้าของชุดข้อมูลและการประสานงาน
สำหรับกรณีชาวต่างชาติที่หลบหนีเข้าสู่ประเทศไทยผ่านช่องทางธรรมชาติบริเวณชายแดน โดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้เข้มงวดในการเฝ้าระวัง หากพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จากการตรวจคัดกรองจะมีการกักกันตัวและผลักดันออกไป พร้อมมีการสนธิกำลังระหว่างตำรวจและทหารในการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อกีดกันไม่ให้มีการลักลอบเข้าประเทศ ทั้งนี้ โฆษก ศบค. กล่าวว่าจำนวนตัวเลขผู้ที่ลักลอบเข้ามาจำนวนหลักพันนั้นเป็นตัวเลขสะสมของหลายเดือน ผู้ที่ลักลอบเข้ามาอยู่ในเมืองเป็นระยะเวลานานแล้วจะอยู่ในสถานที่กักกันส่วนกลาง โดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้ทำงานร่วมกับกรมควบคุมโรคในการตรวจหาเชื้ออย่างรอบคอบ เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่เป็นแหล่งเพาะเชื้อระหว่างที่รอการเดินทางกลับประเทศ โอกาสนี้ โฆษก ศบค. กล่าวขอให้ประชาชนทุกคนร่วมกับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านและเจ้าหน้าที่ ที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เขตชายแดนช่วยกันเป็นหูเป็นตาไม่ให้มีการลักลอบเข้าประเทศผ่านช่องทางธรรมชาติ
นอกจากนี้ โฆษก ศบค. ได้ชี้แจงเพิ่มเติมกรณีผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งเดินทางมากับคณะทูตที่ได้รับการยกเว้นตามกฎหมาย ซึ่งจากกรณีดังกล่าวได้มีการกำหนดให้บุคคลได้รับการพำนักกักกันภายใต้การควบคุมดูแลของสถานทูตที่เป็นหน่วยงานต้นสังกัด อย่างไรก็ตามการใช้คอนโดเป็นสถานที่กักกันจะต้องมีการกำหนดมาตรการที่เข้มงวดขึ้นเพิ่มเติม ทั้งนี้ ได้มอบให้กระทรวงการต่างประเทศทำความเข้าใจกับสถานทูตเพื่อขอความร่วมมือให้การดำเนินการดังกล่าวเกิดความเรียบร้อย
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก