วันนี้ (21 ต.ค. 63) เวลา 15.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจำวัน ความก้าวหน้าในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และผลการประชุม ศบค. สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในประเทศไทย วันนี้พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 9 รายอยู่ใน State Quarantine รวมผู้ป่วยสะสม 3,709 ราย ซึ่งตัวเลขผู้ป่วยสะสมที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผู้ป่วยที่มาจากต่างประเทศ 762 ราย มีผู้ที่หายป่วยแล้ว 3,495 ราย ผู้เสียชีวิตยังคงที่ 59 ราย สำหรับผู้ป่วยรายใหม่ มาจากสหรัฐอเมริกา 1 ราย UAE 2 ราย โมร็อกโก 1 ราย โปรตุเกส 1 ราย ซูดานใต้ 3 ราย โอมาน 1 ราย ด้านสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของโลก มีผู้ป่วยใหม่เพิ่มในวันเดียว 381,716 ราย โดยเฉลี่ย 3 วันมีผู้ป่วยใหม่ 1 ล้านคน รวมผู้เสียชีวิตทั้งโลก 1,129,591 ราย คิดเป็นร้อยละ 2.8 โดย 6 อันดับประเทศที่มีผู้ป่วยจำนวนมากคือ สหรัฐอเมริกา อินเดีย บราซิล รัสเซีย สเปน อาร์เจนตินา ขณะที่ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 144
โฆษก ศบค. กล่าวถึงตัวเลขผู้ป่วยสะสมรายวันยังมีทิศทางที่พุ่งขึ้นในหลัก 3 – 4 แสนคนต่อวัน ซึ่งอาจจะพุ่งถึงวันละ 5 แสนคนถึง 6 แสนคนได้ โดยประชากรโลกมี 7 พันล้านคน ติดเชื้อโควิด-19 แล้ว 41 ล้านคน ซึ่งไม่อาจทราบได้ว่าโรคนี้จะคงอยู่ไปอีกนานเท่าไร แต่คงเหมือนกับโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่กลายเป็นโรคประจำถิ่น ฉะนั้น จึงต้องมีการสื่อสารว่า โรคโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นที่ต้องมีการแพร่กระจายของโรค การติดเชื้อถือเป็นเรื่องปกติ และการที่ให้เป็นตัวเลขศูนย์ไม่มีการติดเชื้อไม่ใช่สิ่งที่เป็นความจริง ดังนั้นจะยึดติดตัวเลขที่เป็นศูนย์ต่อไปอีกไม่ได้ ทั้งนี้ มีโรคที่อันตรายกว่าโรคโควิด-19 อยู่หลายโรค เช่น วัณโรค ที่มีผู้ป่วยวัณโรคในไทย 70,000 – 80,000 คนต่อปี และมีผู้ป่วยวัณโรคทั่วโลกถึง 10 กว่าล้านคน จึงต้องพยายามยอมรับโรคโควิด-19 ให้อยู่ในประเทศไทยให้ได้ อย่างไรก็ตาม มีการควบคุมสถานการณ์ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก ได้แล้ว ขณะที่ความคืบหน้าของการพัฒนาการผลิตวัคซีนโควิด-19 ขณะนี้ประเทศไทยมีการพัฒนาการผลิตวัคซีนเอง พร้อมกับมีความร่วมมือในการวิจัยกับต่างประเทศ รวมทั้งมีการจัดซื้อวัคซีนจากต่างประเทศ โดย ณ เวลานี้มีความคืบหน้าในการร่วมพัฒนาศักยภาพในการผลิตวัคซีนกับระดับนานาชาติ โดยวางเป้าหมายไว้ที่ร้อยละ 50 ของประชากร
นอกจากนี้ โฆษก ศบค. กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุม ศบค. อนุมัติให้มีการเพิ่มกำหนดสัดส่วนจำนวนที่นั่งสำหรับผู้ชมกีฬา ร้อยละ 50 จากที่เคยประกาศไว้เดิม โดยกีฬากลางแจ้ง การเชียร์เสียงดังสามารถมีผู้เข้าชมได้ร้อยละ 50 การเชียร์เสียงไม่ดังมีผู้เข้าชมได้ร้อยละ 70 ส่วนสนามกีฬาในร่มการเชียร์เสียงดังสามารถมีผู้เข้าชมได้ร้อยละ 30 และการเชียร์เสียงไม่ดังมีผู้เข้าชมได้ร้อยละ 50
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก