วันนี้ (7 ม.ค. 64) เวลา 14.00 น. ณ ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเป้าหมายในการจัดหาวัคซีนของรัฐบาลในปี 2564 อย่างน้อยร้อยละ 50 ของประชากรไทย ครอบคลุมประชาชนกว่า 33 ล้านคน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยในเดือนกุมภาพันธ์จะมีการนำเข้าวัคซีนจากบริษัทจีน จำนวน 200,000 โดส กลุ่มแรกที่จะได้รับคือ บุคลากรทางการแพทย์ สาธารณสุข อสม. และพื้นที่ควบคุมสูงสุด 28 จังหวัด ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้ที่มีโรคประจำตัว จะมีเพิ่มเติมอีก 800,000 โดส ในเดือนมีนาคม ซึ่งจะแบ่งฉีดให้กลุ่มผู้ได้รับวัคซีนโดสแรกจนครบ 2 โดสต่อคน และในเดือนเมษายนจะมีเพิ่มเติมอีก 1,000,000 โดส ทั้งนี้ วัคซีนดังกล่าวจะต้องได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนผ่านองค์การอาหารและยาของประเทศจีนและประเทศไทยเช่นเดียวกัน
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังเผยถึงวัคซีนที่ได้จองซื้อล่วงหน้าตามสัญญาบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า สหราชอาณาจักร จำกัด จำนวน 26 ล้านโดส จะเป็นการผลิตภายในประเทศหลังจากมีการเตรียมความพร้อมด้านโรงงาน วัสดุ ครุภัณฑ์ ผ่านบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ซึ่งผ่านขั้นตอนการทดสอบเพื่อให้ได้วัคซีนที่มีคุณภาพเทียบเท่ามาตรฐานกลางซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกันกับโรงงานผลิตทั่วโลก ภายใต้บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า สหราชอาณาจักร จำกัด คือ จะต้องมีการทดสอบต่อเนื่อง 5 รอบการผลิต แต่ละรอบจะผลิตห่างกัน 2 สัปดาห์ ใช้เวลาทั้งหมด 120 วัน แบ่งเป็นการผลิต 60 วัน และการตรวจสอบวิเคราะห์คุณภาพ 60 วัน ซึ่งในรอบแรกได้ทำการผลิตเมื่อวันที่ 26 ธันวาคมที่ผ่านมา และกำลังดำเนินการผลิตต่อในรอบสอง เมื่อผลิตครบ 5 รอบ จะนำผลดำเนินการยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการองค์การอาหารและยาเพื่อพิจารณาอนุมัติ คาดว่าจะสำเร็จภายในเดือนพฤษภาคม ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรียังได้ดำเนินการเจรจาเพื่อนำเข้าวัคซีนเพิ่มเติมอีกจำนวน 35 ล้านโดส
นอกจากนี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังย้ำอีกว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับมาตรการด้านเศรษฐกิจควบคู่กับด้านสาธารณสุข โดยมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด ซึ่งกระทรวงการคลังได้ชี้แจงเพิ่มเติมถึงจำนวนเงินของภาครัฐ ทั้งในส่วนเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และรายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทาหรือแก้ไขปัญหาและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 จำนวนกว่า 1.39 แสนล้านบาท เงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 ในส่วนที่เหลืออีกจำนวน 4.7 แสนล้านบาท และงบลงทุนรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2564 จำนวน 2.9 แสนล้านบาท ที่จะสามารถดูแลขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยต่อไปได้ ทั้งนี้ ขอให้ความมั่นใจว่า พื้นฐานเศรษฐกิจไทย ทั้งภาคการเงิน การคลังยังเข้มแข็ง และพร้อมเยียวยาฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก