เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 6 มี.ค.64 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวในรายการ PM PODCAST นายกรัฐมนตรีเล่าเรื่องว่า การอัดฉีดเม็ดเงินผ่านมาตรการต่างๆ เพื่อรองรับผลกระทบจากโควิด-19 เพื่อยงบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนนั้นจะต้องดำเนินการอย่างเหมาะสมกับงบประมาณที่มีอยู่ หลายคนเป็นห่วงเรื่องของปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งก็ต้องชี้แจงว่าไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยเท่านั้น แต่ทั่วโลกก็ได้รับผลกระทบทั้งหมด สาเหตุสำคัญมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เช่น อังกฤษเศรษฐกิจหดตัวติดลบ 9.9% ฟิลิปปินส์ติดลบ 9.5% ยูโรโซนติดลบ 6.8% ฮ่องกงติดลบ 6.7%
พล.อ.ประยัทธ์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยก็มีข่าวดีออกมา เพราะบริษัท S&P Moody’s และ Fitch สถาบันจัดอันดับเครดิตแนวหน้าของโลก ยังคงอันดับความน่าเชื่อถือของไทยจากการที่มีเงินสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง เสถียรภาพและวินัยทางการคลังอยู่ในเกณฑ์ดี ฐานะการคลังของประเทศไม่ได้ถังแตกอย่างที่พูดกัน เพราะระดับเงินคงคลังงวดเดือนธ.ค .63 อยู่ที่ 473,000 ล้านบาท มากกว่าปีก่อนหน้าถึง 49.5% หลังจากนี้ทางกระทรวงการคลังก็คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเริ่มขยายตัวดีขึ้นเพราะมีสัญญาณบวกจากการได้รับวัคซีน รวมไปถึงมาตรการต่างๆ ที่เป็นผลปรากฏออกมา เช่น โครงการคนละครึ่ง โครงการเราชนะ โครงการมาตรา 33 เรารักกัน ดูได้จากในช่วงตรุษจีนมีการจับจ่ายใช้สอยอย่างคึกคัก โดยร้านค้าต่างๆ ก็สะท้อนว่าได้ประโยชน์จากโครงการคนละครึ่งและโครงการเราชนะที่ทำให้ขายของได้มากกว่าปกติถึงสองเท่า
“สำหรับการระบาดรอบแรกในปี 63 รัฐบาลได้ออกมาตรการทางเศรษฐกิจเพื่อช่วยลดผลกระทบหรือมาตรการเยียวยาประชาชนกลุ่มต่างๆ หลายมาตรการ เช่น โครงการเราไม่ทิ้งกัน มาตรการช่วยเหลือเกษตรกร โครงการม.33 เรารักกัน โครงการคนละครึ่ง ล่าสุดข้อมูลวันที่ 3 มี.ค.64 มีผู้ใช้สิทธิแล้ว 14.7 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 92,412 ล้านบาท มีร้านค้าเข้าร่วมโครงการกว่า 1,500,000 ร้านค้า ซึ่งผมอยากให้ขึ้นไปถึง 2,000,000 ถึง 2,000,000 กว่าในการลงทะเบียนร่วมโครงการ”พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่าส่วนมาตรการช่วยเหลือแรงงานและนายจ้าง มีโครงการ เช่น การช่วยลดหย่อนเงินสมทบนายจ้างและผู้ประกันตน เพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีว่างงาน ส่งเสริมการจ้างงานใหม่ของผู้จบการศึกษาใหม่ และการจัดงาน JOB EXPO 2020 และการบรรเทาค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ส่วนมาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยวก็มีโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ซึ่งขณะนี้มีการจองสิทธิเต็มแล้ว 6 ล้านสิทธิ แต่ตั๋วเครื่องบินยังเหลืออยู่ จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนมาเข้าใช้สิทธิกัน นอกจากนี้ยังมีโครงการเปิดรับนักท่องเที่ยวพิเศษที่เรียกว่า Special Tourist Visa หรือ STV มาตรการด้านการเงินมีโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำของธนาคารออมสิน มีการอนุมัติเงินสินเชื่อไปแล้วกว่า 135,000 ล้านบาท ช่วยเหลือผู้ประกอบการ 15,041 ราย และธุรกิจ Non-bank อีก 32 ราย โครงการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงานของสำนักงานประกันสังคมอีก 30,000 ล้านบาท
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังมีมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบระยะที่สอง เช่น โครงการสินเชื่อสำหรับผู้มีอาชีพอิสระและผู้มีรายได้ประจำ ของธนาคารออมสินมีการอนุมัติสินเชื่อรวม 19,503 ล้านบาท ช่วยเหลือประชาชนไปมากกว่า 1,700,000 รายโครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระทางธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มีการอนุมัติสินเชื่อแล้ว 8,797 ล้านบาท ช่วยเหลือประชาชนไปกว่า 883,067 ราย โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำของสำนักงานธนานุเคราะห์ อนุมัติสินเชื่อแล้ว 190 ล้านบาท
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่ามาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบระยะที่สาม มีมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำภายใต้ พ.ร.ก.ซอฟต์โลน อนุมัติสินเชื่อแล้ว 123,717 ล้านบาท ช่วยเหลือผู้ประกอบการกว่า 74,000 ราย
มาตรการช่วยเหลือธุรกิจและภาคการท่องเที่ยวเอสเอ็มอี มีโครงการสินเชื่อฟื้นฟูการท่องเที่ยวของธนาคารออมสินอนุมัติแล้ว 800 ล้านบาท และโครงการสินเชื่อเสริมพลังฐานรากของธนาคารออมสิน อนุมัติแล้ว 27,000 ล้านบาท มาตรการค้ำประกันสินเชื่อ มีโครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs ไทย สู้โควิด กรอบวงเงิน 5,000 ล้านบาท โครงการทำประกันสินเชื่อ Micro ไทย สู้โควิด กรอบวงเงิน 5,000 ล้านบาท โครงการทำประกันสินเชื่อ PGS Soft Loan พลัส สู้โควิด กรอบวงเงิน 57,000 ล้านบาท มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ มีการมีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตาม พ.ร.ก.ซอฟต์โลน ที่มีการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยธุรกิจเอสเอ็มอีวงเงินไม่เกิน 100 ล้านบาท เป็นเวลา 6 เดือน ซึ่งได้ช่วยเหลือลูกหนี้รวมแล้ว 11 ล้านบัญชี วงเงินมากกว่า 5 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ยังมีการพักชะลอลดค่างวดชำระหนี้ให้กับลูกค้าของ SME Bank ธนาคารอิสลาม ธนาคารอาคารสงเคราะห์ EXIM Bank ธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. เป็นต้น เรื่องเหล่านี้ก็อยากจะขอให้ติดตามว่ารัฐบาลออกมาตรการอะไรในส่วนของตัวเองว่าจะเข้าถึงสินเชื่อนั้นได้อย่างไร
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ส่วนมาตรการรองรับการระบาดรอบใหม่ปี 64 เริ่มจากมาตรการโครงการเราชนะที่มียอดการใช้จ่ายสะสมหมุนเวียนไปแล้วกว่า 69,000 ล้านบาท โครงการมาตรา 33 เรารักกัน ที่จะเปิดให้ลงทะเบียนจนถึงวันที่ 7 มี.ค.นี้ จากนั้นจะใช้จ่ายได้ในวันที่ 22 มี.ค.เป็นต้นไป นอกจากนี้ยังมีการลดค่าน้ำค่าไฟค่าอินเตอร์เน็ตต่อเนื่องจากปีที่แล้ว และมาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการที่ใช้โรงงานที่เป็นที่กักตัวแรงงานใน 5 จังหวัด คือ สมุทรสาคร ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด ส่วนมาตรการทางภาษีก็มีการขยายเวลายื่นแบบและการจ่ายภาษีปี 63 ออกไปอีก 3 เดือน ลดอัตราการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ลดค่าธรรมเนียมการโอนและจำนองอสังหาริมทรัพย์ สุดท้าย คือ มาตรการช่วยเหลือด้านสภาพคล่องโดย ธ.ก.ส.
“อีกเรื่องคือเมื่อวันที่ 17 ก.พ.ที่ผ่านมา ในการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา หรือ UNCTAD ได้มีการจัดอันดับ B2C e-Commerce Index ประจำปี 2563 เป็นการวัดความพร้อมทางเศรษฐกิจเพื่อตอบโจทย์การค้าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์จาก 152 ประเทศทั่วโลก ผลคือประเทศไทยอยู่อันดับที่ 42 ครองอันดับ 3 ของอาเซียน เป็นรองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย โดยเรามีความโดดเด่นด้านความเชื่อมั่นการขนส่งไปรษณีย์ ที่ได้คะแ นนสูงถึง 97 คะแนน รวมถึงการเปิดบัญชีธนาคาร ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานของการเติบโต e-Commerce ผมจึงเชื่อมั่นว่าเราเดินมาถูกทางแล้ว และจะพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นต่อไป” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว