5เมษาวิกฤตสุด! ไฟฟ้าดับ กทม.และภาคใต้

ขอให้โรงปูนลดกำลังการผลิต ส่วนปตท.นำเข้าน้ำมันเพิ่มขึ้น ‘นายกปู’นำทีมถอดสูทประชุม

ลุ้นระทึก 5 เม.ย.นี้ วิกฤตไฟดับหรือไม่ “เพ้ง” ไม่การันตี ยอมรับอาจเกิดไฟฟ้าตกหรือดับวูบ ในกรุงและภาคใต้ทั้งภาค เพราะปัญหาพม่าหยุดส่งก๊าซธรรมชาติ แต่ยืนยันจะเกิดปัญหาวันเดียว เพราะไฟสำรองเหลือ 500-600 เมกะวัตต์ ส่วน 6-14 เม.ย. มั่นใจไม่มีปัญหาดังกล่าว เพราะไฟสำรองเริ่มเพิ่มขึ้นตามมาตรการที่เตรียมไว้ รับมือ เผย ปตท.นำเข้าน้ำมันมาผลิตไฟอาจส่งผลให้ค่าไฟปรับขึ้น 0.48 สตางค์ต่อหน่วย ชวนคนไทยลดใช้ไฟ 5 เม.ย. “ยิ่งลักษณ์” นำทีมร่วมรณรงค์ประหยัดพลังงานด้วยการไม่สวมสูท ที่ทำเนียบรัฐบาล พร้อมเข็นสารพัดมาตรการรับมือไม่ให้เกิดการขาดแคลนแอลพีจีและเอ็นจีวี

กระทรวงพลังงานทำคนไทยใจหายใจคว่ำ ลุ้นระทึกวิกฤติไฟฟ้าที่อาจจะเกิดขึ้นในวันที่ 5 เม.ย.นี้ ทั้งนี้ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.พลังงาน แถลงที่กระทรวงเมื่อวันที่ 20ก.พ. ถึงการจะขาดแคลนไฟฟ้าในช่วงวันที่ 5-12เม.ย.เพราะพม่าหยุดส่งก๊าซธรรมชาติจากแหล่งยาดานาและแหล่งเยตากุน ที่มีกำลังการผลิต 1,100 ล้านลูกบาศก์ฟุต (ล้านลบ.ฟุต) ต่อวัน ซึ่งก๊าซฯที่หายไป ทำให้ปริมาณการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยขาดไปจากระบบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จำนวน 4,100 เมกะวัตต์ ในช่วงเวลาดังกล่าวด้วย เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบจากการซ่อมบำรุงแหล่งก๊าซฯของพม่า กระทรวงพลังงานจึงได้เตรียมมาตรการรองรับปัญหาเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาไฟฟ้าตก ไฟฟ้าดับ หรือต้องปิดการจ่ายไฟฟ้าให้กับประชาชนในบางพื้นที่

นายพงษ์ศักดิ์กล่าวอีกว่า ล่าสุดจากการเตรียมมาตรการ ขอยืนยันว่าปัญหาที่จะเกิดขึ้น ที่น่าเป็นห่วงคือวันที่ 5 เม.ย. เพียงวันเดียว ซึ่งเป็นวันแรกที่พม่าจะปิดการจ่ายก๊าซฯมาให้ไทย เลื่อนจากเดิม คือตั้งแต่วันที่ 4 เม.ย. ส่วนตั้งแต่วันที่ 6-14 เม.ย. ขอยืนยันว่าจะไม่มีผลกระทบใดๆเกิดขึ้น ทั้งเรื่องไฟฟ้าตกหรือดับ หรือการหยุดจ่ายกระแสไฟฟ้าชั่วคราว ยอมรับว่าในวันที่ 5 เม.ย. ยังถือว่าเป็นภาวะวิกฤติ ที่อาจเกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าตกหรือไฟฟ้าดับวูบๆ เป็นระยะๆได้เช่นกันในบางพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯและภาคใต้ทั้งภาค แต่ยืนยันว่าจะดำเนินมาตรการที่เตรียมไว้ให้ดีที่สุด เพื่อไม่ให้ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้น เพราะคาดว่าในวันที่ 5 เม.ย. จะเป็นวันที่ประเทศไทยมีการใช้ไฟฟ้าสูงสุดหรือพีคถึง 26,000 เมกะวัตต์ ทำให้ในวันดังกล่าวเหลือปริมาณไฟฟ้าสำรองเพียง 600-700 เมกะวัตต์เท่านั้น ถือเป็นปริมาณสำรองที่ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์

รมว.พลังงานกล่าวด้วยว่า อยากขอให้ประชาชนร่วมกันลดใช้ไฟฟ้าในระหว่างวันที่ 5-14 เม.ย.นี้ เท่าที่จะทำได้ เช่น ปิดไฟดวงที่ไม่ใช้งาน เพิ่มอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้สูงเกิน 25 องศา เป็นต้น ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานได้เตรียมแผนงานรองรับปัญหาข้างต้นไว้ ประกอบด้วย เรื่องก๊าซธรรมชาติ ได้ให้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ไปเจรจากับบริษัท โทเทล จำกัด ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการแหล่งก๊าซฯยาดานา โดยได้เลื่อนการหยุดซ่อมบำรุงออกไปเป็นช่วงเวลา 12.00 น. วันที่ 5 เม.ย. ซึ่งทำให้ลดความเสี่ยงของระบบไฟฟ้าและลดการใช้น้ำมันเตาได้ถึง 26 ล้านลิตร และน้ำมันดีเซล 15 ล้านลิตร ทำให้ลดค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงลง นอกจากนี้ ได้ประสานกับผู้รับสัมปทานของแหล่งไพลินเหนือในอ่าวไทย ซึ่งมีกำลังการผลิตก๊าซฯ 210 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และแหล่งปลาทอง ซึ่งมีกำลังการผลิตก๊าซฯ 200 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันให้เลื่อนการหยุดซ่อมบำรุงในช่วงดังกล่าวออกไปก่อนจนกว่าการซ่อมบำรุงแหล่งก๊าซฯยาดานาจะแล้วเสร็จ

นายพงษ์ศักดิ์กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกัน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จะเข้ามารับผิดชอบในการสำรองน้ำมันเตา น้ำมันดีเซลให้กับโรงไฟฟ้า ใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทน ช่วงการหยุดจ่ายก๊าซฯ และให้เตรียมการจัดการก๊าซเอ็นจีวี เบื้องต้นจะมีปริมาณก๊าซฯ ค้างในท่อ 50 ล้าน ลบ.ฟุตจะจ่ายให้กับสถานีเอ็นจีวีแม่ ในจังหวัดราชบุรี สำหรับสถานีอื่นๆ จะใช้ก๊าซฯ จากฝั่งตะวันออกจ่ายย้อนเข้ามา ใช้กับรถยนต์ทั่วไปได้ สำหรับผลกระทบด้านก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจี ได้มีแผนรองรับโดย 5,000 ตัน จะใช้ในส่วนของปริมาณสำรองที่มีอยู่ และอีก 5,000 ตัน จะพิจารณานำเข้าเพิ่มเติม

นายพงษ์ศักดิ์กล่าวด้วยว่า ได้สั่งการให้ กฟผ. เดินเครื่องโดยปรับเปลี่ยนเชื้อเพลิงโรงไฟฟ้า เป็นน้ำมันดีเซล ในโรงไฟฟ้าที่ต้องเดินเครื่อง ในช่วงการ หยุดจ่ายก๊าซฯ อาทิ ในกลุ่มโรงไฟฟ้าฝั่งตะวันตก (โรงไฟฟ้าราชบุรี ราชบุรีเพาเวอร์ และโรงไฟฟ้าไตรเอนเนอร์ยี) โดย กฟผ. จะไปประสานงานกับผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่ใช้อัตราไฟฟ้าแบบที่สามารถหยุดเดินเครื่องการผลิตได้ ให้ลดใช้ไฟฟ้าในช่วงที่มีการหยุดซ่อมบำรุง จะทำให้ลดความต้องการใช้ไฟฟ้าได้ถึง 56 เมกะวัตต์ และให้นำเอาโรงไฟฟ้าผู้ผลิตอิสระขนาดใหญ่หรือไอพีพี และโรงไฟฟ้าผู้ผลิตอิสระขนาดเล็ก (เอสพีพี) เพิ่มกำลังการผลิตเพื่อจ่ายไฟเข้าระบบของ กฟผ., รวมทั้งให้นำไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าจากประเทศลาว เข้ามาเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษ และขอให้โรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ที่ใช้ไฟฟ้าจำนวนมาก คือ โรงงานปูนซิเมนต์ของบริษัททีพีไอ จำกัด โรงงานปูนซิเมนต์นครหลวง จำกัด โรงงานกระจกไทยอาซาฮี จำกัด ลดกำลังการผลิตในช่วงเวลาดังกล่าว ขณะเดียวกัน ปตท. จะนำเข้าน้ำมันเตา 86 ล้านลิตร น้ำมันดีเซล 47 ล้านลิตร เข้ามาสำรองไว้ในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น การใช้น้ำมันเตาและน้ำมันดีเซล ยอมรับว่าจะทำให้ค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) ปรับเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 0.48 สตางค์ต่อหน่วย เรื่องนี้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (เรคกูเลเตอร์) จะเป็นผู้พิจารณาว่า ใครควรรับผิดชอบค่าเอฟทีที่เพิ่มขึ้นมาดังกล่าว

รมว.พลังงานกล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ ในวันที่ 5 เม.ย. ซึ่งเป็นวันที่คาดการณ์ว่า จะมีอุณหภูมิสูงสุดในรอบปีและอาจมีการใช้ไฟฟ้าสูงสุด กระทรวงพลังงาน ได้จัดกิจกรรมรณรงค์ ลดการใช้ไฟฟ้าในส่วนของหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ ห้างสรรพสินค้า โรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ ในช่วงเวลา 14.00-14.30 น. ณ ทำเนียบรัฐบาล โดยมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน คาดว่าจะช่วยลดการใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาดังกล่าวได้ประมาณ 500 เมกะวัตต์ โดยในวันที่ 13 มี.ค. กระทรวงพลังงาน พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะเตรียมการซ้อมแผนรองรับสภาวะวิกฤติด้านพลังงานของประเทศไทย เพื่อเป็นแนวทางเตรียมความพร้อมให้แก่ประเทศหากเกิดภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานต่อไป

ขณะที่นายสุทัศน์ ปัทมศิริวัฒน์ ผู้ว่าการ กฟผ. กล่าวว่า คาดว่าในวันที่ 5 เม.ย. พีคของประเทศไทยอาจจะอยู่ที่ระดับ 26,300 เมกะวัตต์ ขณะที่ปริมาณไฟฟ้าสำรอง ในวันที่ 5 เม.ย. จะลดลงเหลือเพียง 500-600 เมกะวัตต์ ยอมรับว่า พื้นที่กรุงเทพฯ และภาคใต้ทั้งภาค อาจประสบปัญหาไฟฟ้าตกหรือดับหรือวูบ เป็นช่วงๆได้ เนื่องจากโรงไฟฟ้าในภาคใต้มีไม่เพียงพอกับความต้องการ ทำให้ต้องดึงไฟฟ้าส่วนหนึ่งมาจากโรงไฟฟ้าแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ที่ต้องมีการ ปรับความดันของกระแสไฟฟ้า ส่วนพื้นที่กรุงเทพฯ จากปัจจุบันใช้กระแสไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าฝั่งตะวันตก แต่เมื่อก๊าซฯพม่าขาดหายไป โรงไฟฟ้าฝั่งตะวันตก อาทิโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ พระนครใต้ ไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ จึงต้องดึงไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าแม่เมาะเข้ามาเสริมเช่นกัน จึงอาจเกิดปัญหาดังกล่าวได้

ขณะเดียวกันหลังจากรัฐบาลรณรงค์ให้ทุกหน่วยราชการประหยัดพลังงาน หวั่นเกิดปัญหาการใช้ไฟฟ้าในประเทศไทย จากการหยุดส่งก๊าซของพม่า ระหว่างวันที่ 4-12 เม.ย. ในวันเดียวกันนี้ ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้สวมเสื้อเชิ้ตเข้าประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ที่ตึกไทยคู่ฟ้า โดยไม่ได้ใส่สูท ขณะที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และ รมว.คลัง สวมเสื้อผ้าไหม ส่วนผู้เข้าร่วมประชุม ครม.เศรษฐกิจ คนอื่นๆก็ไม่ได้สวมเสื้อสูทในห้องประชุม ขณะที่ตึกไทยคู่ฟ้าซึ่งเป็นห้องทำงานของนายกฯ ได้มีการสั่งให้ปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศ จากที่ปกติใช้อยู่ที่ 20-23 องศาเซลเซียส มาเป็นอุณหภูมิที่ 25 องศาฯ ตามนโยบายประหยัดพลังงาน และปิดห้องต่างๆที่ไม่ได้ใช้งาน ขณะที่ในเวลา 15.00 น. นายกฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ ที่ตึกบัญชาการ โดยนายกฯ พร้อมด้วยนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รมต.ประจำสำนักนายกฯ น.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์ รมต.ประจำสำนักนายกฯ นายวราเทพ รัตนากร รมต.ประจำสำนักนายกฯ ทั้งหมดไม่ได้สวมเสื้อสูท

ต่อมา เวลา 15.30 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้สัมภาษณ์ว่า จากมติ ครม.ได้ขอความร่วมมือกับ ครม.และหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ พร้อมกับเชิญชวนประชาชนในการรณรงค์ประหยัดพลังงาน เราทำหลายอย่าง เช่น การปรับอุณหภูมิในที่ทำงานอยู่ระดับที่ 25-26 องศาเซลเซียส ในช่วงบ่ายปิดแอร์ 1 ชั่วโมง และให้หน่วยงานต่างๆ ไปทบทวนวิธีการใช้งาน และปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็นหรือสิ่งที่ใช้พลังงานมาก เพื่อสำรองพลังงาน ถ้าร่วมกันรณรงค์ประหยัดพลังงานตั้งแต่วันนี้ ในวันที่ 5 เม.ย. อาจจะไม่เกิดผลกระทบมากแต่ในวันอื่นๆมีการแก้ปัญหาได้แล้ว ส่วนการรณรงค์ระยะยาวนั้น เราได้พูดคุยกันในคณะกรรมการพลังงานแห่งชาติ (กพช.) แล้ว โดยให้กระทรวงพลังงานกำหนดแนวทางขั้นตอนวิธีการต่างๆหาวิธีการการสำรองพลังงาน ขณะเดียวกันจะต้อง หาซื้อแหล่งพลังงานสำรองก๊าซในต่างประเทศด้วย

ข้อมูลจาก ไทยรัฐออนไลน์ โดย ทีมข่าวหน้า 1
21 กุมภาพันธ์ 2556, 09:00 น.