หุ้นรูด ผิดปกติ 112.68 จุด นายกฯ ห่วงสถานการณ์ สุรนันทน์ โทษ"ข่าวลือ" สูญ 1.07 ล้านล้าน

24 มี.ค. 2556 เวลา 15:15 | อ่าน 5,929

แชร์ไปยัง

กรณีความเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นปรับตัวลงแรงและต่อเนื่องตลอดทั้งวันในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 22 มีนาคม ปิดตลาดที่ 1,478.97 จุด ปรับตัวลดลง 50.55 จุด คิดเป็น 3.30% ด้วยมูลค่าการซื้อขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 101,361.64 ล้านบาท นับตั้งแต่การก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อ 37 ปีที่แล้ว เมื่อรวมตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นปรับลดลงรวม 112.68 จุดนั้น

นายอภิชาติ ผู้เจิดกุล ผู้อำนวยการสำนักวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จะปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง โดยรวมกว่า 100 จุด ส่วนสถานการณ์ลงทุนในตลาดหุ้นไทยนับจากนี้ไปตลาดหุ้นจะอยู่ในภาวะขาลง การลงทุนในระยะนี้นักลงทุนควรเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น เพราะมีความเสี่ยงที่หุ้นจะลงต่อ แต่ในระยะยาวมีแนวโน้มจะยังปรับเพิ่มได้เนื่องจากเศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้น

นายอภิชาติกล่าวว่า ทิศทางของตลาดหุ้นแม้ในระยะยาวจะเป็นขาขึ้นชัดเจน แต่ในช่วง 2?3 สัปดาห์ข้างหน้าทิศทางยังอึมครึม ผันผวน และมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงต่อเนื่องในสัปดาห์หน้า ปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตามองนั้นเป็นปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะในกรณีของประเทศไซปรัส หากมีสัญญาที่ไม่ดีเข้ามา อาจกดดันให้ดัชนีหลุดลงไปถึง 1,420 จุด โดยมีแนวต้านที่ 1,450 จุด สิ่งที่อยากแนะนำนักลงทุนในการลงทุนสัปดาห์หน้านั้น เป็นช่วงที่เหมาะในการเข้าซื้อทำกำไรในระยะสั้น เน้นการเข้าเร็วออกเร็วเพราะตลาดมีแนวโน้มจะรีบาวด์หรือดีดตัวเพิ่มขึ้นในระยะสั้นๆ หลังดัชนีลดลงไปค่อนข้างเยอะ ส่วนนักลงทุนที่เน้นการลงทุนระยะยาวนั้น ให้เน้นในการเข้าลงทุนหุ้นพื้นฐานดี และให้เงินปันผลที่สูง

รายงานข่าวจาก บล.เอเชียพลัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นเอเชียอย่างหนักตลอดสัปดาห์ รวม 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ กดดันให้ดัชนีหุ้นหลายประเทศปรับฐานอย่างหนัก โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทย ร่วงหล่นไปมากสุด 8% ส่วนประเทศอื่นอย่างไต้หวัน เกาหลีใต้ และฟิลิปปินส์ปรับตัวลดลง 1.7-1.9% ตามลำดับ

รายงานข่าวแจ้งว่า กระแสไหลออกของเงินต่างชาตินั้น น่าจะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของขาออก หลังจากสถานการณ์ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยปรับฐานหนักเกือบ 10%

หากดูจากเหตุการณ์ในอดีต สถานการณ์เงินไหลออกในปี 2555 เริ่มต้น ในช่วงระหว่างวันที่ 9 พฤษภาคม-6 มิถุนายน 2555 เป็นเวลา 1 เดือน ในครั้งนั้น มีแรงขายจากต่างชาติมากถึง 2.2 หมื่นล้านบาท เริ่มต้นโดยการขายต่อเนื่อง 3 วันรวม 8 พันล้านบาท แม้มีการสลับกลับมาซื้อราว 4 วัน แต่หลังจากนั้นเป็นการเทขายหนักถึง 7 วันติดต่อกัน รวม 1.2 หมื่นล้านบาท

นอกจากนี้สัญญาณเชิงลบอีกประการทำให้เชื่อว่า สถานการณ์ไหลออกของเงินทุนต่างชาติจะยังคงมีอีกต่อเนื่องนับจากนี้ไปคือ มีการเปิดชอร์ตสถานะ หรือการตั้งซื้อขายระยะสั้น เพื่อบริหารความเสี่ยงสุทธิสะสมในตลาดทีเฟ็กซ์หรือตลาดซื้อขายอนุพันธ์ล่วงหน้าประเภท ทองคำ หุ้น เป็นต้น เฉพาะสัปดาห์ที่ผ่านมากว่า 5,300 สัญญา เพราะฉะนั้น เชื่อว่าแรงขายจากต่างชาติน่าจะเข้ามาอีกอย่างต่อเนื่อง กดดันให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับฐานต่อเนื่องได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสอบถามบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หลายแห่งที่มีลูกค้าต่างชาติเปิดพอร์ตลงทุนหุ้นกับบริษัท แจ้งว่าหลังจากตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีปรับตัวลดลงมาก โดยเฉพาะเมื่อวันที่ 22 มีนาคม ปรับลดลงมากที่สุดของสัปดาห์กว่า 60 จุด เป็นภาวะสวนทางกลับตลาดหุ้นของประเทศต่างๆ ในภูมิภาค ทำให้ลูกค้าต่างชาติสอบถามอย่างมากว่าเกิดอะไรขึ้นกับตลาดหุ้นไทย เพราะกังวลว่าจะมีข่าวร้ายในประเทศที่ส่งผลถึงการลงทุนหรือไม่ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต่างชาติยังไม่เคลื่อนไหวหรือสั่งขายแบบล้างพอร์ตแต่อย่างใด จะมีเพียงการสั่งซื้อสั่งขายที่ถือเป็นปกติเท่านั้น

แหล่งข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวยอมรับว่า ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ลูกค้าต่างชาติส่วนใหญ่จะเป็นยุโรปและอเมริกาได้สอบถามมาเนื่องจากดัชนีหุ้นปรับตัวลดลงแรง แต่หลังชี้แจงรายละเอียดและยืนยันว่ายังไม่มีปัจจัยลบที่ผิดปกติใดๆ นักลงทุนจึงไม่ได้มีคำสั่งขาย คาดว่านักลงทุนจะรอดูสถานการณ์ตลาดหลักทรัพย์ไทยในช่วงเปิดตลาดสัปดาห์หน้าอีกครั้ง

บรรยากาศการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์รอบสัปดาห์ที่ผ่านมา 18-21 มีนาคม ปรากฏว่า ดัชนีปรับตัว ลดลง จากสัปดาห์ที่แล้ว ทั้งสิ้น 108 จุด โดยเริ่มต้นสัปดาห์ (18 มีนาคม) ที่ระดับ 1,529 จุด และปิดการซื้อขายวันที่ 22 มีนาคม ที่ระดับ 1,478 จุด ขณะที่ค่าพีอี ต้นสัปดาห์ อยู่ที่ 17.86 เท่า และท้ายสัปดาห์ ค่าพีอี ลดลงมาอยู่ที่ 17.26 จุด มูลค่าหลักทรัพย์ ตามราคาตลาด เมื่อต้นสัปดาห์ อยู่ที่ 13.6 ล้านล้านบาท และปิดตลาดการซื้อขายวันที่ 22 มีนาคม มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ลดลงมาอยู่ที่ 12.53 ล้านล้าน หรือลดลง 1.07 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 7.86 %

เมื่อวันที่ 23 มีนาคม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อยู่ระหว่างเดินทางเยือนประเทศนิวซีแลนด์ และปาปัวนิวกินี อย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 21-25 มีนาคม ให้สัมภาษณ์กรณีหุ้นที่ตกลงอย่างต่อเนื่องว่า เป็นห่วงสถานการณ์หุ้นตกลงอย่างหนัก 2 วันติดต่อกัน การที่ตลาดหุ้นไทยเกิดความผันผวนเป็นผลมาจากเงินทุนจากต่างประเทศที่ไหลเข้าในช่วงที่ผ่านมา อันเป็นผลมาจากเศรษฐกิจโลกที่นักลงทุนต่างชาติย้ายฐานการลงทุนมาในตลาดทุนไทย ดังนั้น เมื่อตลาดเงินทุนและเศรษฐกิจในต่างประเทศผันผวนจึงส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยด้วย อย่างไรก็ตาม อยากฝากให้นักลงทุนควรลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดี และมีความมั่นคงมากกว่าการลงทุนเก็งกำไร ซื้อขายในระยะสั้น

ส่วนกระแสข่าวมีการทุบหุ้นเพื่อเขย่ารัฐบาลนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ปฏิเสธแสดงความเห็น กล่าวเพียงว่าขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในตลาดหลักทรัพย์ชี้แจงจะเหมาะสมกว่า

ด้านนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวลือออกมาในลักษณะแปลกๆ ทั้งการปล่อยข่าวว่านายกรัฐมนตรีจะลาออก ข่าวการเตรียมนายกรัฐมนตรีสำรองหรือข่าวปฏิวัติ ซึ่งไม่เป็นความจริง จากการตรวจสอบหลายข่าวปรากฏออกมาจากแหล่งข่าวในตลาดหลักทรัพย์ ถือว่าไม่เป็นสิ่งที่ดีสำหรับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลต่อความมั่นคงทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง อยากขอให้ทุกฝ่ายช่วยกันทำให้ประเทศเดินหน้าต่อไปข้างหน้า ทำให้เศรษฐกิจมีความมั่นคงจะเป็นประโยชน์กับนักลงทุนทั้งระยะสั้นและระยะยาว อย่างไรก็ตาม รัฐบาลคงเข้าไปแทรกแซงกลไกตลาดไม่ได้ แต่อยากฝากไปยังนักลงทุนว่าไม่ควรหวั่นไหวกับข่าวที่ไม่เหมาะสม เพราะข่าวลือที่ออกมามีวัตถุประสงค์ที่ต่างกัน บางข่าวไม่ได้หวังผลทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่หวังผลทางการเมืองด้วย

นายสุรนันทน์กล่าวว่า ยอมรับว่าค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นมีผลต่อความผันผวนในตลาดหลักทรัพย์ แต่ถ้ามีการบริหารจัดการที่ดีจากธนาคารแห่งประเทศไทย หรือกลไกการเงินการคลังของรัฐ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นความเสี่ยง และหากผู้ไม่หวังดีนำข่าวลือไปบิดเบือน จะยิ่งทำให้ผลกระทบที่อ่อนไหวอยู่แล้วเกิดผลกระทบมากขึ้น

"หุ้นที่ตกในขณะนี้ผิดปกติ เพราะมาจากข่าวลือ ไม่เป็นไปตามพื้นฐานของหุ้น พื้นฐานบริษัท และพื้นฐานเศรษฐกิจ และในการเดินทางมาต่างประเทศของนายกรัฐมนตรี หลายประเทศก็มั่นใจในเศรษฐกิจของประเทศไทย จึงไม่มีปัจจัยใดไปสะท้อนจนทำให้หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ตก ทั้งที่หลายประเทศตลาดหุ้นเริ่มฟื้นตัวแล้ว แต่ตลาดของเรากลับเดินสวนทาง จึงต้องวิเคราะห์ให้ดี ขณะเดียวกันไม่สามารถประเมินได้ว่า เมื่อไหร่สถานการณ์ในตลาดหุ้นจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ยืนยันรัฐบาลไม่เข้าไปแทรกแซงในตลาดหลักทรัพย์ และคงไปทำนายแทนไม่ได้ แต่เชื่อว่าหากไม่มีการปล่อยข่าวลือและปล่อยให้กลไกตลาดเดินตามพื้นฐานเศรษฐกิจจริงๆ ราคาหุ้นจะขึ้นจะลงก็เป็นไปตามพื้นฐานเศรษฐกิจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด" นายสุรนันทน์กล่าว และว่า ในช่วงเดือนเมษายนจะมีกระบวนการปล่อยข่าว และทำให้เกิดความไม่มั่นคงทางการเมือง หรือทำให้เห็นว่าการเมืองมีความร้อนแรง แต่ยืนยันรัฐบาลมั่นคง นายกรัฐมนตรีทำงานอย่างหนัก และอยากให้ประเทศเดินหน้าต่อไป

ข้อมูลจาก มติชนออนไลน์ http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1364096822&grpid=00&catid=&subcatid= วันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2556 เวลา 11:11:25 น.

24 มี.ค. 2556 เวลา 15:15 | อ่าน 5,929