หมายเหตุ : การปรับตัวของราคาทองคำในตลาดโลกที่ดิ่งลงอย่างรวดเร็วจากราคาทองคำที่เคลื่อนไหว 1,558 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์เมื่อวันที่ 11 เมษายน ลงมาแตะระดับ 1,321.35 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ สะท้อนภาวะขาลงอย่างเป็นทางการ และทำให้ราคาทองคำในประเทศรูดลงมาอยู่ที่ระดับ 18,000-19,000 บาทต่อบาททอง ตามภาวะตื่นทอง กระทั่งทองไม่เพียงพอต่อความต้องการ จนต้องรับใบจองแทน โดย "มติชน" ได้สัมภาษณ์บุคคลในแวดวงที่เกี่ยวข้อง และวิเคราะห์สถานการณ์ตลาดทองคำในปัจจุบันที่น่าสนใจ ดังนี้
นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์
ประธานกรรมการ บริษัท วาย แอล จีบูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
- การเคลื่อนไหวของราคาทองตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
ทิศทางราคาทองซึมลงมาต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งราคาทองในช่วงปลายปี 2555 อยู่ที่ระดับ 1,660 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งเป็นการลดลงจากที่เคยปรับตัวสูงขึ้น โดยปัจจัยที่ทำให้ราคาทองคำลดลงมาจากภาวะเศรษฐกิจสหรัฐที่เริ่มดีขึ้น
โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมาราคาทองคำเปิดตลาดมาอยู่ที่ระดับประมาณ 1,580 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แต่ก็พยายามที่ปรับขึ้นไป โดยได้เห็นราคาทองคำแตะที่ระดับ 1,680-1,690 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แต่มีแรงเทขายทำให้ราคาปรับลงมาเป็นระยะ
จากการที่นักลงทุนมองว่า หากทางสหรัฐชะลอการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการผ่อนคลายเชิงปริมาณจะส่งผลให้ปริมาณเงินส่วนเกินเข้ามาในตลาดทองคำลดลงตามไปด้วย ซึ่งอาจจะทำให้ราคาทองคำปรับขึ้นไม่ได้สูงนัก นักลงทุนจึงเริ่มมองหาการลงทุนที่น่าสนใจมากกว่าทองคำ ทั้งตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้
- กรณีของไซปรัสมีผลต่อราคาทองคำมากน้อยเพียงใด
ปัจจัยลบต่อราคาทองคำ ส่วนหนึ่งมาจากข่าวลือเรื่องที่ทางไซปรัสจะเทขายทองคำออกมา จากที่มีทองสำรองอยู่ 13.9 ตัน ซึ่งหากขายออกมาอาจจะได้เงินประมาณ 400 ล้านยูโร แม้ว่าเศรษฐกิจของไซปรัสจะมีเพียง 1% ของเศรษฐกิจยุโรปทั้งหมด แต่การขายทองคำของประเทศที่เป็นลูกหนี้ของทรอยก้ากำลังถูกจับตามองว่าจะกลายเป็นโมเดลที่จะใช้แนวทางบังคับขายทองกับประเทศอื่นที่ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจเช่นเดียวกันหรือไม่ ซึ่งส่งผลให้ตลาดเริ่มตระหนกกับสถานการณ์มากขึ้น
นอกจากนี้ ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ทุบทองเมื่อปลายสัปดาห์ก่อน ส่วนหนึ่งยังมาจากกองทุนที่เก็งกำไรในทองคำขนาดใหญ่ (เฮดจ์ฟันด์) มีการเทขายออกมา โดยจังหวะที่เทขายมากๆ คือช่วงที่ราคาทองคำอยู่ที่ 1,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และการเทขายที่ใช้ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ตั้งราคาขายไว้ในจุดที่ต้องการ เป็นแรงส่งให้ราคาทองคำร่วงลงอย่างรวดเร็วมาก
โดยรวมเพียง 2-3 วันราคาทองคำลดลงกว่า 200 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ลดลงกว่า 15% มากที่สุดในรอบ 30 ปี แม้ว่าจะเคยเกิดสถานการณ์เช่นนี้เมื่อปี 2554 ที่มีการปรับราคาขึ้น 400 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แต่ยังเปลี่ยนแปลงถึง 15% และสร้างความตื่นตระหนกให้กับตลาดทองคำเป็นอย่างมาก
- สถานการณ์ราคาทองหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร
ราคาทองในช่วงนี้เริ่มเข้าสู่ภาวะขาดเสถียรภาพและมีความผันผวน เมื่อราคาร่วงลงมาต่ำกว่าระดับ 1,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ก็ต้องลุ้นว่าราคาทองจะสามารถกลับมายืนเหนือระดับ 1,400 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ได้หรือไม่แนวรับที่สำคัญของราคาทองคำคือระดับ 1,320 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หากสามารถยืนอยู่ได้อย่างเข้มแข็งก็อาจจะขยับขึ้นไปจนถึงระดับ 1,400 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ได้
แต่ถ้าไม่สามารถยืนอยู่ได้ อาจจะร่วงลงไปถึง 1,150-1,250 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งหากคำนวณเป็นทองในประเทศอาจจะเห็นระดับ 16,000 บาทต่อบาททองคำได้เช่นกัน
- ค่าเงินบาทที่แข็งค่ามีผลต่อทองคำหรือไม่
ผลจากการปรับตัวแข็งค่าของค่าเงินบาทจะมีผลต่อราคาทองคำในประเทศ ซึ่งทุกการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาท 10 สตางค์จะมีผลต่อราคาทองคำในประเทศ 80 บาทต่อบาททองคำ เช่นเดียวกับราคาทองคำในตลาดโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงทุก 10 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์จะมีผลต่อราคาทองคำ 140 บาทต่อบาททองคำ
การที่ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นมาตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็มีผลต่อราคาทองคำพอสมควร แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปในขณะนี้คือ ราคาทองที่ปรับลดลง ไม่ได้ส่งผลให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเหมือนในอดีตแล้ว
เป็นการสะท้อนว่า ราคาทองคำไม่ใช่ตัวชี้วัดค่าเงินดอลลาร์แล้ว การเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์ขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และค่าเงินบาทที่แข็งค่ายังมีเรื่องเงินทุนไหลเข้าเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าเงิน
- ความเชื่อมั่นต่อทองคำในสายตานักลงทุนเปลี่ยนไปหรือไม่
ผลตอบแทนจากการลงทุนในทองคำตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาติดลบไปแล้วประมาณ 10% และเมื่อปลายสัปดาห์ก่อนที่ราคาทองลดลงแตะระดับ 1,320 ดอลลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนทองคำติดลบถึง 20% วงจรของทองคำจึงปรับเข้าสู่ขาลงอย่างชัดเจนขึ้น หลังจากที่ขึ้นมาตลอด 12 ปีที่ผ่านมา
นับว่ารอบของทองคำใกล้จบลงแล้ว การที่ทองคำจะเป็นการลงทุนที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยหรือ safe heaven ก็เริ่มที่จะลดลง ซึ่งรอบนี้หากราคาทองคำยังไม่สามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้ อาจจะต้องรออีก 4-5 ปี จึงจะเห็นรอบของทองคำรอบใหม่
แต่ยังมองว่าราคาทองคำอาจจะขยับขึ้นได้บ้าง ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยทางเศรษฐกิจที่จะส่งผลต่อราคาทองคำระยะข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นในเชิงจิตวิทยาของทองคำต่อนักลงทุนยังไม่ได้หายไปหมด หากนักลงทุนยังมั่นใจว่าทองจะยังมีโอกาสขึ้นก็มีโอกาสที่จะขยับขึ้นได้อีกครั้ง เช่นเดียวกับการลงทุนในตลาดหุ้นที่เคยลดลงเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาก็สามารถกลับมาได้เช่นกัน
นายทรงวุฒิ อภิรักษ์ขิต
กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลเบล็ก โฮลดิ้งแมนเนจเม้นท์ จำกัด (มหาชน)
"ทองคำไม่ใช่สินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยอีกต่อไป กลับกลายเป็นสินทรัพย์ที่มีการเก็งกำไรมากขึ้น เพราะในช่วงที่ผ่านมา มีนักลงทุนเข้าไปลงทุนในทอง เพราะเห็นว่ามีการเติบโตตามอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะช่วงที่หลายประเทศเริ่มใช้มาตรการทางการเงินอัดฉีดเงินเข้าระบบ ทำให้นักลงทุนทั่วโลกแห่ซื้อทองมากขึ้น
นักลงทุนแห่กันเข้ามาซื้อทอง เพราะคิดว่าเป็นหลุมหลบภัย เพราะราคาทองมักจะเติบโตตามเงินเฟ้อ แต่เมื่อเวลาผ่านไป มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้ทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอย่างที่คิด นักลงทุนเริ่มผิดหวังและขายทองออกมา ทำให้ราคาตกลงอย่างรวดเร็ว
เมื่อราคาไหลลงมาระยะหนึ่ง มาถึงจุดทดสอบที่สำคัญที่ 1,321.35 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ราคาทองไหลลงมาทดสอบหลายครั้ง แต่ไม่สามารถทะลุลงมาได้ จนเมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้ว ราคาทองหลุดแนวรับดังกล่าวลงมาได้ ทำให้นักลงทุนเริ่มขายทองออกมาด้วยความแตกตื่น กองทุนต่างๆ ก็ขายทองมาต่อเนื่อง ราคาทองจึงดิ่งลงทุกวัน
หากยิ่งคิดถึงความต่างจากทองที่เคยทำสถิติสูงสุด ที่ 27,100 บาทต่อบาททอง เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2554 ไหลมาทำสถิติต่ำสุดที่ 18,500 บาทต่อบาททอง มีช่องว่างห่างกันที่ 8,600 บาท หรือคิดเป็น 31.71% ซึ่งถือว่าลดลงอย่างรุนแรง และแนวโน้มของราคาทองยังเป็นทิศทางขาลงอย่างชัดเจน และจากการประเมินจากหลายสำนักพบว่า ราคาทองมีโอกาสจะไหลลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 15,700 บาทต่อบาททอง
ราคาทองดิ่งหนักขนาดนี้ จึงไม่แปลกที่เกิดภาวะการตื่นทอง ร้านทองคนแน่นไปหมด นักลงทุนรายย่อย หรือประชาชนทั่วไป เดินทางไปซื้อทองกันจำนวนมาก แม้ร้านทองจะไม่มีทองขายให้ นักลงทุนก็ยอมที่จะซื้อใบจองทองแทน หวังว่าอนาคตอันใกล้ ราคาทองจะปรับสูงขึ้น ทั้งที่จริงหากนักลงทุนเหล่านี้ศึกษาข้อมูลจะพบว่า ควรรอจังหวะอีกระยะหนึ่งค่อยเข้าซื้อ น่าจะได้ราคาที่ต่ำกว่านี้
สิ่งที่อยากจะแนะนำกับนักลงทุนในช่วงนี้ หากลงทุนในระยะสั้น ควรหาจังหวะในการขายทองออกมา เพราะในระยะสั้นอาจมีการดีดกลับของราคาทองได้บ้าง แต่แนวโน้มราคาทองจะไหลลงต่อเนื่อง หากผู้ที่ไม่มีทองอยู่ในมือและสนใจลงทุน อยากให้รอจังหวะแล้วค่อยเข้าซื้อ เพราะราคาทองยังมีโอกาสปรับตัวลดลงไปต่ำอีก
ทั้งนี้ การลงทุนในทองคำนั้น อยากให้นักลงทุนเน้นการลงทุนในระยะยาวหรือซื้อทองไว้เพื่อหวังจะใช้ยามเกษียณ ซึ่งจะช่วยสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนอย่างคุ้มค่าได้แน่นอน"
นายจิตติ ตั้งสิทธิภักดี
นายกสมาคมค้าทองคำ
"การลงทุนในทองคำช่วงนี้ นักลงทุนต้องพิจารณาอย่างละเอียดมากขึ้นก่อนตัดสินใจลงทุน เพราะราคาทองคำมีการผันผวนค่อนข้างมาก เนื่องจากตลาดยังอยู่ในสถานการณ์ตื่นตระหนก เพียงแค่มีข่าวลือออกมาก็จะมีผลต่อราคาทองคำ สะท้อนจากการปรับราคาในวันที่ 19 เมษายน ที่มีการเปลี่ยนแปลงของราคาทองคำถึง 12 ครั้ง มีการเปลี่ยนแปลงราคาเกือบทุก 3 นาที นับว่ามากที่สุดในปีนี้ แต่อาจจะยังไม่มากเท่ากับปี 2554 ที่มีการปรับราคา 22 ครั้งใน 1 วัน
กระแสการตื่นทองคำ เริ่มตั้งแต่เปิดทำการหลังหยุดยาวที่มีประชาชนมาต่อแถวซื้อทองคำในย่านเยาวราชตั้งแต่ร้านไม่เปิด ซึ่งปริมาณการซื้อขายทองคำในย่านเยาวราช ยังมีความคึกคักอย่างต่อเนื่อง
แต่ที่ผิดปกติคือ นอกจากจะมีการเข้ามาซื้อทองในช่วงที่ราคาลงเช่นนี้แล้ว ยังมีบางส่วนนำทองออกมาขายด้วย ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณเรื่องความตระหนกจากข่าวด้านลบ ที่มองว่าราคาทองคำจะต่ำลง
อย่างไรก็ตาม อยากให้นักลงทุนอย่าตื่นตระหนกกับกระแสข่าว ควรชะลอการลงทุนรอดูสถานการณ์อีกสักพักซึ่งคาดว่าอาการตื่นของนักลงทุนจะเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติในช่วงสัปดาห์นี้ ถ้าไม่มีกระแสข่าวอะไรที่จะส่งผลกระทบต่อราคาแรงๆ ออกมาอีก"
ข้อมูลจาก มติชนออนไลน์
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1366614824&grpid=01&catid=&subcatid= วันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 14:16:26 น.