กระแสโรคฝีดาษลิงขณะนี้อยู่ในความสนใจของผู้คนทั่วโลก โดยที่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่องนอกจากแอฟริกาแล้ว 23 ประเทศ อีกทั้งองค์การอนามัยโลก หรือ WHO ระบุว่า โรคฝีดาษลิงยังถือว่ามีความเสี่ยงระดับปานกลางต่อสาธารณสุขของโลก
โรคฝีดาษคน (โรคไข้ทรพิษ) ได้มีการถูกกำจัดจากโลกนานแล้ว แต่อาการของโรคฝีดาษลิงจะคล้ายคลึงกับอาการของโรคฝีดาษคน โดยโรคฝีดาษลิง มีระยะฟักตัวประมาณ 5-13 วัน หลังจากที่ได้รับเชื้อแล้ว มักจะมีอาการมีไข้ อ่อนเพลียต่อมน้ำเหลืองโต และหลังจากนั้นจะมีตุ่มขึ้นตามร่างกาย โดยตุ่มในระยะแรกเป็นตุ่มคล้ายยุงกัด หลังจากนั้นจะพัฒนาเป็นตุ่มใสคล้ายอีสุกอีใส แต่ผนังจะหนากว่า ตุ่มจะใหญ่กว่า และมีจำนวนมากกว่า หลังจากนั้น ตุ่มน้ำจะกลายเป็นตุ่มหนอง ประมาณ 1 สัปดาห์ ตุ่มเหล่านั้นก็จะเป็นแผลตกสะเก็ด แล้วหาย ส่วนใหญ่จะมีอาการอยู่ประมาณ 2-3 สัปดาห์ หลังจากนั้นก็จะหายเอง
โรคฝีดาษลิงจะมีอาการเบากว่า และอัตราการเสียชีวิตน้อยกว่า 5 % ของผู้ป่วยโรคฝีดาษคน โดยผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต คือ ผู้ที่มีร่างกายไม่แข็งแรง มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เหล่านี้ เป็นต้น ผู้ที่เสี่ยงจะติดเชื้อมักจะเป็นผู้ที่สัมผัสกับสัตว์โดยตรง
การระบาดในปัจจุบันแสดงให้เห็นว่า มีการติดเชื้อจาก“คนสู่คน” นอกจากนี้ยังมีการติดเชื้อเป็นกลุ่มชายรักชาย เกิดได้จากการสัมผัสโดยตรงที่ผิวหนังบริเวณที่มีตุ่ม ผื่น หรือจากการ ไอ จาม จากละอองฝอยของทางเดินหายใจ ก็สามารถแพร่เชื้อได้ จึงทำให้ผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่เป็น ซึ่งมีอาการเพียงเล็กน้อย จำนวนตุ่มไม่มาก ไม่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นฝีดาษลิง แล้วไปสัมผัสใกล้ชิดกับผู้อื่นต่อ ทำให้เกิดการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้
สำหรับในประเทศไทย ยังไม่มีโรคนี้เกิดขึ้น แต่เนื่องจากในประเทศมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ต้องมีมาตรการตรวจจับ หากเดินทางกลับจากประเทศที่เป็นเขตติดโรค ต้องทำการคัดกรองและเฝ้าระวังอาการจนครบ 21 วัน เพื่อป้องกันการระบาด
ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนที่ป้องกันฝีดาษลิงโดยตรง อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เกิดก่อนปี พศ. 2523 จะได้รับการปลูกฝีเพื่อป้องกันโรคฝีดาษคน สามารถป้องกันโรคฝีดาษลิงได้