นับเป็นวิบากกรรมระยะยาวของมนุษยชาติจริงๆ เมื่อความกังวลเรื่องโควิด-19 กลับมาหลอกหลอนพวกเราอีกครั้ง ทั้งๆ ที่ส่วนใหญ่ของโลกกลับมา "ทำตัวปกติ" กันแล้ว และ "หัวเราะเยาะ" จีนที่ใช้มาตรการล็อคดาวน์ที่ถูกมองว่าไม่สอคล้องกับ "ความเป็นจริง"
แต่เมื่อไวรัส SARS-CoV-2 สายพันธุ์ Omicron กลายพันธุ์ BA.2.75 แสดงอิทธิฤทธิ์ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2565 ความเชื่อมั่นของผู้คนก็เริ่มสั่นคลอน อย่างน้อยก็ในหมู่นักวิทยศาสตร์
BA.2.75 ตรวจพบครั้งแรกในอินเดียเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมและได้แพร่กระจายอย่างรวดเร็วตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ตามหัวข้อ Twitter จาก Vinod Scaria, MBBS, PhD, นักวิทยาศาสตร์หลักของ CSIR Institute of Genomics & Integrative Biology ในนิวเดลี ระบุว่าเชื้อสาย BA.2.75 มี "การเปลี่ยนแปลงที่ไม่ซ้ำกัน 9 ประการในโปรตีนสไปก์"
การกลายพันธุ์อย่างหนึ่งคือ G446S เป็นส่วนหนึ่งของโปรตีนสไปก์ซึ่งจับกับตัวรับในเซลล์ของมนุษย์ของเรา และ "เกี่ยวข้องกับการหลบหนีของภูมิคุ้มกันที่สำคัญ (Ab)" และ Vinod Scaria เตือนว่าอาจเกิด "การติดเชื้อที่ลุกลามซ้ำแล้วซ้ำอีกของ (หลังการฉีด) วัคซีน สามารถขับเคลื่อนการแพร่กระจายของ BA.2.75 ได้" (1)
Vinod Scaria ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่าแม้ว่าจำนวนจีโนมที่สามารถตรวจสอบได้ในอินเดียยังมีน้อยมาก แต่เกิด "การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ... บ่งชี้ว่าอาจมีข้อได้เปรียบในการขยายตัว" (1)
Soumya Swaminathan, MBBS, MD หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของอวค์การอนามัยโลก WHO กล่าวในวิดีโอ ณ วันที่ 9 กรกฏาคมว่า "ยังเร็วเกินไปที่จะทราบว่าตัวแปรย่อยนี้มีคุณสมบัติของการบุกรุกภูมิคุ้มกันเพิ่มเติม หรือที่จริงแล้วมีความรุนแรงทางคลินิกมากกว่า" นั่นก็เพราะมีข้อมูลด้านจีโนมที่จำกัดในการวิเคราะห์ตัวแปรนี้ แต่ตัวแปรนี้ "ดูเหมือนจะมีการกลายพันธุ์ในตัวรับในส่วนของโปรตีนสไปก์ นั่นเป็นตัวหลักของไวรัสในการนำตัวมันไปเหนี่ยวกับกับตัวรับของมนุษย์ ดังนั้นเราจึงต้องจับตาจุดนี้" (2)
ด้าน Marc Johnson, PhD, ศาสตราจารย์ด้านจุลชีววิทยาระดับโมเลกุลและภูมิคุ้มกันวิทยาที่โรงเรียนแพทย์ของมหาวิทยาลัย Missouri กล่าวในอีเมลถึงเว็บไซต์ MedPage Today ว่า "เราไม่รู้จริงๆ ว่า BA.2.75 แพร่เชื้อได้มากกว่านี้หรือรุนแรงกว่านี้หรือไม่ ณ จุดนี้" และเขาบอกว่า “เราควรกังวล ใช่ แต่เราไม่ควรวิตกกังวล” และบอกว่า "เชื้อสายพันธุ์นี้มีโอกาสมากที่จะเพิ่มการติดเชื้อและกลายเป็นเชื้อสายใหม่ที่โดดเด่น แต่ก็ไม่น่าจะทำให้เกิดคลื่นที่กว้างใหญ่อย่างที่ Omicron เคยทำ" (3)
อีกคนที่เห็นแบบเดียวกันคือ Matthew Binnicker ผู้อำนวยการฝ่ายไวรัสวิทยาคลินิกที่ Mayo Clinic ในเมืองโรเชสเตอร์ รัฐมินนิโซตา กล่าวกับ Time ว่ายังเร็วเกินไปที่จะสรุปผล “แต่ดูเหมือนว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอินเดีย อัตราการติดเชื้อกำลังแสดงการเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณนั้น” และะเขากล่าวว่า BA.2.75 จะแซงหน้า BA.5 ได้หรือไม่นั้นยังไม่เป็นที่แน่ชัด (4)
แต่นักวิทยาศาสตร์และสื่อตะวันตกก็ยังอดกลัวมันไม่ได้ เช่น Forbes สื่อทรงอิทธิพลของโลก พาดหัวข่าวรายงานว่า "BA.2.75 ม้ามืดท่ามกลางการระบาดใหญ่ของโควิด" เขียนโดย William A. Haseltine นักวิทยาศาสตร์ นักธุรกิจ นักเขียนชาวอเมริกัน เขาเป็นที่รู้จักจากผลงานที่ก้าวล้ำในด้านเอชไอวี/เอดส์และจีโนมมนุษย์ และเป็นศาสตราจารย์ที่ Harvard Medical School ซึ่งเขาก่อตั้งแผนกวิจัยสองแผนกเกี่ยวกับโรคมะเร็งและเอชไอวี/เอดส์
William A. Haseltine อธิบายในเชิงวิทยศาสตร์ของเชื้อตัวแปรนี้อย่งยืดยาว แต่โดยสรุปก็คือเขาบอกว่า "สรุปว่า (โลก) เพิ่งฟื้นจากคลื่น Omicron แรกของ BA.1 และ BA.2 เมื่อต้นปี รวมถึงคลื่น BA.2.12.1 ในสหรัฐอเมริกาและที่อื่นๆ ตอนนี้ทั่วโลกกำลังเผชิญกับอีกสองคลื่นตัวแปรซึ่งอาจเกินกว่าคลื่นลูกแรกในขนาดเดียวหรือรวมกัน" และเขาบอกว่า "ทุกประเทศยกเว้นจีนได้ละทิ้งมาตรการบรรเทาผลกระทบสาธารณะ ซึ่งหมายความว่าตอนนี้ความปลอดภัยของโควิดตกอยู่ที่ปัจเจกบุคคล ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่น่าเสียใจในการเผชิญกับการโจมตีอย่างต่อเนื่องของ SARS-CoV-2"