วันนี้ (21 กรกฎาคม 2565) นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เนื่องจากขณะนี้เป็นช่วงฤดูฝน นอกจากโรคโควิด 19 ที่มีแนวโน้มการติดเชื้อเพิ่มขึ้นแล้ว ยังมีโอกาสติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่เพิ่มมากขึ้นด้วย ซึ่งทั้ง 2 โรคเป็นโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจเหมือนกัน มีอาการคล้ายกัน การใช้มาตรการป้องกันตนเองจากโรคโควิด 19 ได้แก่ การเว้นระยะห่าง ล้างมือ และสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่น จะช่วยป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้เช่นกัน รวมทั้งสามารถเพิ่มภูมิคุ้มกันต่อสู้กับเชื้อได้ด้วยการฉีดวัคซีน ทั้งวัคซีนโควิด 19 และวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล
นพ.เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า วัคซีนโควิด 19 สามารถเข้ารับบริการได้ฟรีในสถานบริการของกระทรวงสาธารณสุขหรือจุดบริการฉีดวัคซีนใกล้บ้าน โดยขอให้มารับเข็มกระตุ้นตามกำหนดทุก 3-4 เดือน ส่วนวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลในปี 2565 กรมควบคุมโรค ได้จัดสรรวัคซีนไว้สำหรับบุคลากรกลุ่มเสี่ยง 4 แสนโดส และประชาชน 7 กลุ่มเสี่ยง รวม 4.2 ล้านโดส ได้แก่ 1.หญิงตั้งครรภ์อายุครรภ์มากกว่า 4 เดือนขึ้นไป 2.เด็กอายุ 6 เดือน - 2 ปี 3.ผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง คือ ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย เบาหวาน และมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบำบัด 4.ผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป 5.ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ 6.โรคธาลัสซีเมียและผู้ที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง รวมผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีอาการ และ 7.โรคอ้วน น้ำหนักมากกว่า 100 กิโลกรัม หรือมีค่าดัชนีมวลกาย BMI มากกว่า 35 เริ่มฉีดฟรีตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2565 เป็นต้นมา
“ขณะนี้ทั้งวัคซีนโควิด 19 และวัคซีนไข้หวัดใหญ่กระจายไปยังหน่วยบริการในพื้นที่ทั่วประเทศแล้ว ประชาชนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงสามารถเข้ารับบริการฉีดวัคซีนทั้งสองชนิดพร้อมกันได้โดยไม่จำเป็นต้องเว้นระยะห่างจะช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อ ลดอาการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตจากทั้ง 2 โรคได้” นพ.เกียรติภูมิกล่าว