ที่ประชุม ครม. (23 ส.ค. 65) อนุมัติวงเงิน 2,923.397 ล้านบาท เพื่อดำเนินการตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ตามประกาศกรมสรรพสามิตเมื่อวันที่ 21 มี.ค. 65 ดังนี้
✔️รถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสาร มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ประเภท BEV มีราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 2 ล้านบาท
• มีขนาดความจุของแบตเตอรี่ตั้งแต่ 10 กิโลวัตต์ชั่วโมงแต่น้อยกว่า 30 กิโลวัตต์ชั่วโมง เงินอุดหนุน 70,000 บาท/คัน
• มีขนาดความจุของแบตเตอรี่ตั้งแต่ 30 กิโลวัตต์ชั่วโมงขึ้นไป เงินอุดหนุน 150,000 บาท/คัน
✔️รถยนต์กระบะประเภท BEV มีราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 2 ล้านบาท เฉพาะรถยนต์กระบะที่ผลิตในประเทศและมีขนาดความจุของแบตเตอรี่ตั้งแต่ 30 กิโลวัตต์ชั่วโมงขึ้นไป เงินอุดหนุน 150,000 บาท/คัน
✔️รถจักรยานยนต์ประเภท BEV มีราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 150,000 บาท เงินอุดหนุน 18,000 บาท/คัน
โดยผู้ “มีสิทธิ” ขอรับเงินอุดหนุนตามมาตรการจะต้องเป็นบุคคลตามประกาศกรมสรรพสามิตกำหนด เช่น ผู้ประกอบอุตสาหกรรมที่มีโรงงานอุตสาหกรรม ผู้นำเข้าที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ เป็นต้น และต้องทำข้อตกลงร่วมกับกรมสรรพสามิต เพื่อรับทราบและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข ตลอดจนรับบทลงโทษหากไม่สามารถดำเนินการได้
.
ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าว จะช่วยสนับสนุนให้ราคาของรถยนต์และรถจักรยานยนต์แบบพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ (BEV) ลดลง ทำให้ผู้ประกอบการมีความมั่นใจในการลงทุน และส่งผลให้ผู้บริโภคเกิดความต้องการซื้อ รวมทั้งสร้างแรงจูงใจให้มีการผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์แบบพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ (BEV) เพิ่มขึ้นในอนาคต