วันที่ 7 ธันวาคม 2565 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าในปี 3 ผลการดำเนินงานของรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เดินหน้าในการลดข้อจำกัดด้านกฎหมายที่เป็นปัญหาอุปสรรคต่อการทำธุรกิจและการดำรงชีวิตของประชาชน แก้ไขกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม ล้าสมัย โดยการตรวจพิจารณาร่างกฎหมายและแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย 87 ฉบับเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด และอีก 57 ฉบับเกี่ยวกับใบอนุญาต และยังยกเลิกกฎหมายบางฉบับที่หมดความจำเป็นหรือซ้ำซ้อนกับกฎหมายอื่นด้วย
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า หนึ่งในกฎหมายที่ส่งผลดีต่อประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง คือกฎหมายเกี่ยวกับ “การปฏิวัติดอกเบี้ย” ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้แก้ไขวิธีการคิดดอกเบี้ยใหม่ ที่ใช้มานานกว่า 95 ปี เพื่อลดภาระดอกเบี้ยให้แก่ลูกหนี้ นอกจากจะเป็นการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์การคิดดอกเบี้ยในประเทศไทยแล้วยังเป็นการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างเพื่อประโยชน์ของประชาชนและผู้ประกอบการทั่วประเทศได้อย่างยั่งยืน มีความเป็นธรรม คุ้มครองไม่ให้ลูกหนี้ถูกเอาเปรียบ และสอดคล้องกับเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป จึงมีพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 (อัตราดอกเบี้ย) ประกาศใช้ เมื่อ 10 เมษายน 2564 มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าหนี้เรียกดอกเบี้ยจากลูกหนี้ในอัตราหรือวิธีการที่ก่อให้เกิดภาระแก่ลูกหนี้สูงเกินสมควร โดยมีสาระสำคัญ คือ
1. หากไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ในนิติกรรมให้ใช้อัตราร้อยละ 3 ต่อปี ซึ่งทำให้ชำระดอกเบี้ยลดลง จากเดิมร้อยละ 7.5 เหลือร้อยละ 3 ต่อปี และเพื่อให้มีการปรับปรุงให้เป็นธรรมกับลูกหนี้ สอดคล้องกับสภาพเหตุการณ์จึงกำหนดให้กระทรวงการคลังพิจารณาทบทวนทุก 3 ปี ให้ใกล้เคียงกับอัตราเฉลี่ยระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินฝากกับอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของธนาคารพาณิชย์ด้วย
2. อัตราดอกเบี้ยผิดนัด ปรับเป็นอัตราที่กำหนดตามมาตรา 7 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี ทำให้ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยผิดนัดอยู่ที่ร้อยละ 5 ต่อปี ลดจากเดิมร้อยละ 7.5 ต่อปี
3. กำหนดฐานการคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ เมื่อลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ในงวดใดงวดหนึ่ง เจ้าหนี้คำนวณดอกเบี้ยผิดนัดได้เฉพาะจากเงินต้นของงวดที่ลูกหนี้ผิดนัดแล้วเท่านั้น ทำให้ลดภาระดอกเบี้ยเพราะไม่ใช่คิดจาก “เงินต้นทั้งหมด” ที่ลูกหนี้ยังค้างชำระอยู่ เป็นการสร้างความเป็นธรรมให้แก่ลูกหนี้ที่ถูกบิดเบือนมานับศตวรรษ
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า การปฏิวัติดอกเบี้ย ยังส่งผลดีไปยังดอกเบี้ยในเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่นในวันที่ 10 มกราคม 2566 ที่จะถึงนี้ ประชาชนที่เช่าซื้อยานพาหนะต่างๆ ก็จะได้รับการคิดดอกเบี้ยที่เป็นธรรมมากขึ้นกว่าเดิม ตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ.2565 โดยมีสาระสำคัญ คือ อัตราดอกเบี้ยจะต้องไม่เกินอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงต่อปี หรือ Effective Interest Rate โดยเพดานสูงสุดที่กฎหมายกำหนด สำหรับรถยนต์ใหม่ต้องไม่เกินร้อยละ 10 ต่อปี รถยนต์ใช้แล้วต้องไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี และรถจักรยานยนต์ต้องไม่เกินร้อยละ 23 ต่อปี
น.ส. ทิพานัน กล่าวว่า รวมถึงกำหนดให้เบี้ยปรับผิดนัดชำระหนี้ต้องไม่เกิน 5% ต่อปี และให้คิดเบี้ยปรับจากยอดหนี้ที่ผิดนัดชำระเท่านั้น ส่วนหนี้ที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระผู้ให้เช่าซื้อไม่สามารถนำมาคิดเป็นเบี้ยปรับได้ (จากเดิมผู้ประกอบการส่วนใหญ่นำหนี้ทั้งก้อนไปคิดเป็นเบี้ยปรับ ซึ่งเป็นการเอารัดเอาเปรียบผู้เช่าซื้อ) ซึ่งเป็นอัตราที่สอดคล้องกับการแก้ไขปรับปรุงประมวลแพ่งและพาณิชย์เรื่องดอกเบี้ยและเบี้ยปรับล่าสุด และเรื่องการคิดดอกเบี้ย ยังให้มีการพิจารณาปรับปรุงอัตราดอกเบี้ยทุกๆ 3 ปีเพื่อสร้างความเป็นธรรมและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจด้วย
“การแก้ไขกฎหมายที่ล้าหลัง คือความใส่ใจถึงปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นความมุ่งมั่นของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการสร้างความยุติธรรมให้มีขึ้นในสังคมให้มากที่สุด เป็นการแก้ไขปัญหาในเชิงโครงสร้าง เพื่อพี่น้องประชาชนจะไม่ต้องทนกับภาระดอกเบี้ยโหดอีกต่อไป อันจะนำไปสู่การใช้ชีวิตและมีเงินทุนในการประกอบอาชีพอื่นๆต่อได้” น.ส.ทิพานัน กล่าว