วันที่ 3 มีนาคม 2566 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มุ่งมั่นในการลดความเหลื่อมล้ำ ตามนโยบายไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อการดำรงชีวิตในเบื้องต้น สำหรับใช้สอยในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องกู้ยืมเงินนอกระบบ ซึ่งในการลงทะเบียนโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐปี 2565 มีประชาชนให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการเป็นจำนวนมากถึง 22 ล้านคน และมีผู้ได้รับสิทธิ 14.59 ล้านคนนั้น ทั้งนี้ผู้ที่ผ่านเกณฑ์การพิจารณาคุณสมบัติจะต้องยืนยันตัวตนตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2566 เป็นต้นไป ที่ธนาคารกรุงไทยฯ ธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. โดยสามารถยืนยันตัวตนได้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2566 เป็นต้นไป โดยเมื่อยืนยันตัวตนเสร็จเรียบร้อยแล้วจะสามารถตรวจสอบสถานะการยืนยันตัวตนของตนเองผ่านทางเว็บไซต์ https://บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ.mof.go.th หรือ https://welfare.mof.go.th ในวันถัดไป หรือติดต่อสอบถามเจ้าหน้าที่หน่วยงานรับลงทะเบียนทั้ง 7 หน่วยงาน หรือโทรศัพท์สอบถามได้ที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ทั้งนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหรกณ์การเกษตรหรือธ.ก.ส. และธนาคารออมสินจะให้บริการยืนยันตัวตนเป็นเวลา 180 วันนับจากวันที่ประกาศผลการพิจารณาคุณสมบัติ (วันที่ 1 มีนาคม – 27 สิงหาคม 2566) และธนาคารกรุงไทยฯ จะให้บริการยืนยันตัวตน โดยยังไม่มีกำหนดวันสิ้นสุดการให้บริการ สำหรับการยืนยันตัวตนในช่วงวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ให้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแต่ละธนาคาร โดยผู้ลงทะเบียนที่ผ่านเกณฑ์การพิจารณาคุณสมบัติ ดำเนินการผูกบัญชีพร้อมเพย์กับหมายเลขประจำตัวประชาชนเพื่อรับสิทธิสวัสดิการ โดยสามารถผูกบัญชีพร้อมเพย์กับธนาคารใดก็ได้
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทั้งนี้ในส่วนของกลุ่มเปราะบาง ได้แก่ผู้สูงอายุ ผู้พิการและผู้ป่วยติดเตียง ที่ไม่สะดวกต่อการเดินทาง ไม่ต้องเดินทางไปยืนยันตัวตนที่ธนาคาร สามารถมอบอำนาจให้บุคคลอื่นมาลงทะเบียนแทนได้ โดยใช้เอกสาร ดังนี้
1.แบบฟอร์มลงทะเบียน
2.สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน (ผู้ลงทะเบียน)พร้อมลงลายมือชื่อ
3.สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน (คู่สมรส)พร้อมลงลายมือชื่อ
4.สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน (บุตร)หรือ สำเนาสูติบัตร พร้อมลงลายมือชื่อ
เอกสารสำหรับมอบอำนาจ มีดังนี้
1.หนังสือมอบอำนาจ (ดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ)
2.บัตรประจำตัวประชาชน (ผู้ได้รับมอบอำนาจ)
3.สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนคนพิการ (ถ้ามี) หรือใบรับรองแพทย์ (ถ้ามี)
“ทั้งนี้พล.อ.ประยุทธ์ มีความห่วงใยกลุ่มเปราะบางดังกล่าว โดยขอความร่วมมือให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เครือข่ายในชุมชน ท้องถิ่นได้เร่งประชาสัมพันธ์และช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางให้เข้าถึงข้อมูล และปฏิบัติตามขั้นตอนให้ถูกต้องเพื่อไม่ให้เสียสิทธิ์ รวมทั้งสั่งการให้ดำเนินอย่างเด็ดขาดกับผู้ที่สวมสิทธิ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ถือเป็นการซ้ำเติมผู้ที่เดือดร้อน โดยมีโทษทั้งทางอาญาและทางแพ่ง”น.ส.ทิพานัน กล่าว