วันที่ 30 มีนาคม 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กรณีการปรับค่าไฟฟ้านั้น เป็นผลจากกรณีที่ประชุมคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ซึ่งในส่วนของค่าไฟฟ้างวดเดือนมกราคม – เมษายน 2566 นั้น เป็นไปตามการประชุม กกพ. ซึ่งมีมติประกาศค่าไฟฟ้างวดใหม่ หรือรอบบิลค่าไฟเดือน มกราคม – เมษายน 2566 เป็น 2 กลุ่ม คือ ประเภทที่อยู่อาศัย มีอัตราค่าไฟที่ 4.72 บาทต่อหน่วย และผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทอื่นที่ 5.33 บาทต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้นราวร้อยละ 13 เป็นไปตามมติคณะกรรมนโยบายพลังงานแห่งชาติที่มีนโยบายจัดสรรก๊าซอ่าวไทยในการผลิตไฟฟ้าสำหรับบ้านอยู่อาศัย และให้ กกพ. ทบทวนค่าไฟฟ้า เพื่อไม่ให้กระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน ขณะเดียวกันก็ช่วยเหลือค่าไฟฟ้าแก่ผู้ใช้ไฟฟ้ากลุ่มเปราะบาง ประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือนอย่างต่อเนื่อง
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังกล่าวเพิ่มเติมว่า โดยสถานการณ์ราคาพลังงานในช่วงนี้เริ่มอ่อนตัวลง จึงคาดว่าจะเข้าสู่สภาพเดิม และมีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ ทั้งนี้ ในส่วนของการปรับค่า Ft จะมีการปรับอยู่เรื่อย ๆ ทุก ๆ 4 เดือน เพื่อให้อัตราค่าไฟสอดคล้องกับราคาต้นทุนเชื้อเพลิงการผลิตไฟฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ ผู้ใช้ไฟบ้านทั่วไปยังคงต้องหามาตรการรับมือค่าไฟในหน้าร้อนกันทุกปี ซึ่งไม่เพียงค่า Ft ที่มีผลต่อค่าไฟเท่านั้น แต่อากาศที่ร้อนขึ้นก็ทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้ากินไฟมากขึ้นด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ราคาพลังงานที่สูงขึ้น รัฐบาลได้มีนโยบายช่วยเหลือค่าไฟฟ้าแก่ผู้ใช้ไฟฟ้ากลุ่มเปราะบาง ประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน โดยให้ส่วนลดค่าไฟฟ้าแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยในพื้นที่ของการไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รวมทั้งผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่เป็นผู้ใช้ไฟฟ้ารายย่อยของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และผู้ใช้ไฟฟ้าในพื้นที่บริการของกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทาน กองทัพเรือ เป็นเวลา 4 เดือน ตั้งแต่ค่าไฟฟ้าประจำเดือนมกราคมที่ผ่านมา จนถึงเดือนเมษายน 2566 ที่จะถึงนี้ โดยกำหนดให้เป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าก่อนการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม
ทั้งนี้ รัฐบาลได้อนุมัติวงเงิน 3,191.74 ล้านบาท ให้การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับค่าไฟฟ้าประจำเดือนมกราคม-เมษายน 2566 เพื่อให้ส่วนลดอัตราค่าไฟฟ้าให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน โดยเป็นกรอบวงเงินของการไฟฟ้านครหลวงจำนวน 517.95 ล้านบาท และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจำนวน 2,673.79 ล้านบาท เพื่อบรรเทาผลกระทบในการลดภาระค่าครองชีพให้ผู้ใช้ไฟฟ้าที่เป็นกลุ่มเปราะบาง
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของค่าไฟฟ้างวดพฤษภาคม-สิงหาคม 2566 ที่ 4.77 บาทต่อหน่วยนั้น ได้พิจารณาความเหมาะสมที่จะสะท้อนต้นทุนต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมากที่สุด โดย กกพ. ระบุว่า การพิจารณาค่า Ft ในงวดดังกล่าวเป็นการประมาณการค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นโดยอ้างอิงจากข้อมูลจริงเฉลี่ยในเดือนมกราคม 2566 มาใช้เป็นฐานในการพิจารณา ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติปกติ หากการดำเนินการจริงมีการเปลี่ยนแปลงไปจากค่าประมาณการดังกล่าว กกพ. จะนำส่วนต่างค่าใช้จ่ายมาปรับปรุงการคิดค่า Ft ในรอบต่อ ๆ ไป ตามหลักเกณฑ์การคำนวณค่า Ft
“รัฐบาลให้ความสำคัญต่อกรณีการจัดการด้านพลังงาน คำนึงถึงการดูแล บริหาร ทั้งการผลิต ความมั่นคงพลังงาน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ราคาพลังงานที่เป็นธรรม ให้สมดุลอยู่เสมอ และรับฟัง คำนึงถึงความเห็นของทุกภาคส่วนอยู่เสมอ ขณะเดียวกัน รัฐบาลมีนโยบายลดผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน ด้วยการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าแก่ผู้ใช้ไฟฟ้ากลุ่มเปราะบาง ประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือนมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมกันนี้ รัฐบาลมีแนวทางที่เสาะหาพลังงานทางเลือกเพื่อการพัฒนาประเทศได้อย่างสมดุลและยั่งยืน ” นายอนุชาฯ กล่าว