คือไขมันที่พบได้ที่ชั้นผิวหนัง ที่เราสามารถจับขึ้นมาแล้วเป็นก้อนๆ นั่นเองและสามารถวัดได้ โดยใช้เครื่องหนีบวัดไขมัน (Skin-Fold Calipers) ซึ่งถ้ามีไขมันใต้ผิวหนังสะสมอยู่ตามร่างกายในส่วนต่างๆก็อาจจะไม่อันตรายหรือก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพ อย่างไรก็ตามการมีไขมันสะสมอยู่เยอะๆมากๆ ก็จะทำให้เกิดการหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อทำให้ไม่เกิดการกระชับและรูปร่างจะไม่ได้สัดส่วนตามที่ต้องการได้ในทางสุขภาพแล้วไขมันใต้ผิวหนังในบริเวณต้นขาและสะโพกไม่ได้มีอันตราย หรือสร้างปัญหาให้กับสุขภาพเท่ากับไขมันในบริเวณหน้าท้อง และไขมันที่อยู่ลึกกว่าที่เรียกว่า Visceral fat :ซึ่งหากสะสมอยู่ที่ท้องมากๆก็จะเสี่ยงเกิดปัญหาสุขภาพได้ เช่นโรคเบาหวาน ความดันศุงและโรคหัวใจหรือที่เรารู้จักกันในชื่อ NCDs (Non-Communicable Diseases)
อย่างไรก็ตาม การที่ร่างกายมีไขมันใต้ผิวหนังสูงมากๆก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี เพราะข้อมูลทางวิชาการได้กล่าวไว้ว่าจะทำให้อยู่ในเกณฑ์เสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพ ดังนั้น เราสามาถกำจัดไขมันออกได้ด้วยวิธีการออกกำลังกาย ดังนี้
1.เพิ่มการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ(Cardio Exercise) คือการทำกิจกรรมหรือการออกกำลังกายที่กระตุ้นให้อัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้น มีเหงื่อออกและควรทำต่อเนื่องอย่างน้อย30นาที/วัน และทำ3-5วัน/สัปดาห์ กิจกรรมที่แนะนำสำหรับผู้เริ่มต้นใหม่ได้แก่ เดินเร็วและหากแข็งแรงมากขึ้น สามารถเปลี่ยนเป็นการวิ่งได้
2.ออกกำลังกายแบบสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ(Resistance Exercise) คือการออกกำลังกายแบบที่ใช้แรงต้านทานหรือการยกน้ำหนัก ซึ่งการออกกำลังกายประเภทนี้จะช่วยเพิ่มมวลของกล้ามเนื้อทำให้ร่างกายมีการใช้พลังงานมากขึ้นจึงช่วยในการลดไขมันได้ ควรออกกำลังฝึกกล้ามเนื้อสัปดาห์ละ 3 ครั้ง โดยฝึกให้ครบทุกมัดกล้ามเนื้อ
3.ควบคุมอาหาร โดยเน้นทานอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อแต่มีการปรับสัดส่วนของการกินให้ดี คือให้ได้สารอาหารครบทุกอย่างทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมันและผักต่างๆ โดยให้เน้นการรับประทานอาหารที่มีกากใยมากขึ้นและลดปริมาณสารอาหารประเภทแป้งและไขมันลง
สิ่งสำคัญเราจะต้องมีการฝึกเป็นประจำสม่ำเสมอและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการรับประทานอาหารให้ถูกต้อง เพียงเท่านี้เราก็จะสามารถบอกลาไขมันส่วนเกินในร่างกายเราได้แล้วนะครับทุกคน
นาย ยลวรณัฏฐ์ จีรัชตกรณ์
งานสร้างเสริมสุขภาพ
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล