ข้อมูลเกี่ยวกับ

22 พ.ค. 2557 เวลา 12:12 | อ่าน 5,647
 
สถานการณ์ทั่วไป
เงาะเป็นไม้ผลเพื่อบริโภคผลสดและเป็นวัตถุดิบที่สำคัญของอุตสาหกรรมเกษตร เงาะกระป๋องและเงาะสอดไส้สับปะรดบรรจุกระป๋องเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งภายในและต่างประเทศ ที่ผ่านมาถึงแม้ว่าจะเกิดปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำเกือบทุกปี (เนื่องจากช่วงฤดูกาลผลิตเงาะค่อนข้างสั้น ในช่วงเวลากลางฤดูจะมีผลผลิตมากกว่า 50 % ออกสู่ตลาดพร้อมๆ กัน) แต่เงาะก็ยังจัดเป็นไม้ผลที่ทำรายได้ดีอีกพืชหนึ่ง

ลักษณะทางพฤกษาศาสตร์
เงาะมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Naphelium lappaceum L. อยู่ในตระกูล Sapindacea เงาะมีระบบรากแก้ว มีรากแขนงมากมายรากส่วนมากจะอยู่ตามผิวดิน
ลำต้น มีเปลือกบางเรียบ สีน้ำตาลแกมเขียว มีทรงพุ่มหนาทึบ
ใบ เป็นใบประกอบ ใบจะออกจากกิ่งแบบเรียงใบสลับ มีใบย่อย 2 – 4 คู่ ผิวใบด้านบนเป็นมันมีสีเขียวเข้มด้านล่างมีสีซีดไม่เป็นมัน ใบอ่อนจะมีสีน้ำตาลแกมแดง
ดอก ออกเป็นช่อ ออกได้ทั้งที่ปลายยอดและตาข้างโดยมากเป็นดอกสมบูรณ์เพศที่ทำหน้าที่เป็นดอกตัวเมีย เนื่องจากเกสรตัวผู้อ่อนแอ และมีต้นตัวผู้ให้ดอกตัวผู้แยกต้นกัน ดอกเงาะจะไม่มีกลีบดอกมีเฉพาะกลีบเลี้ยง 4 – 6 กลีบ สีครีม โดยดอกจะเริ่มบานเวลาเช้า
ผล เงาะมีรูปร่างค่อนข้างกลมหรือรูปไข่ เปลือกของผลอ่อนนุ่ม เจริญยื่นยาวออกมาเป็นขน
เมล็ด มีรูปร่างค่อนข้างแบนยาวประมาณ 1 นิ้ว สามารถเผารับประทานได้หรือใส่ในช็อกโกแลต

ลักษณะทั่วไปของพืช
เงาะเป็นไม้ผลยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ชอบอากาศร้อนชื้น อุณหภูมิที่เหมาะสม อยู่ในช่วง 25 – 30 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์สูงประมาณ 75 – 85 % ดินปลูกที่เหมาะสมควรมีค่าความเป็นกรดเป็นด่าง (ค่า pH) ของดินประมาณ 5.5 – 6.5 และที่สำคัญควรเลือกแหล่งปลูกที่มีน้ำเพียงพอตลอดปี เงาะเป็นไม้ผลที่มีระบบรากหาอาหารลึกประมาณ 60 – 90 เซนติเมตรจากผิวดินจึงต้องการสภาพแล้งก่อนออกดอกติดต่อกัน ประมาณ 21 – 30 วัน เมื่อต้นเงาะผ่านสภาพแล้งและมีการจัดการน้ำอย่างเหมาะสมเงาะจะออกดอก ช่วงพัฒนาการของดอก (ผลิตดอก – ดอกแรกเริ่มบาน) ประมาณ 10 – 12 วัน ดอกเงาะจะทยอยบานจากโคนช่อไปหาปลายช่อ ใช้เวลาประมาณ 25 – 30 วัน จึงจะบานหมดช่อ ดอกเงาะมี 2 ชนิด
คือ ดอกตัวผู้และดอกสมบูรณ์เพศ ต้นที่มีดอกตัวผู้จะไม่ติดผล ส่วนต้นที่มีดอกสมบูรณ์เพศนั้นเกสรตัวผู้ไม่ค่อยแข็งแรง ต้องปลูกต้นตัวผู้แซมในสวนเพื่อเพิ่มละอองเกสรหรือฉีดพ่นฮอร์โมนพืชเพื่อช่วยให้เกสรตัวผู้แข็งแรงขึ้น


พันธุ์เงาะ
เงาะที่ปลูกในประเทศไทยมีอยู่มากมายหลายพันธุ์ด้วยกัน แต่ที่นิยมบริโภคกันมากและเป็นที่ต้องการของตลาดในปัจจุบันมีอยู่ 2 พันธุ์คือ เงาะพันธุ์โรงเรียนและพันธุ์สีชมพู เงาะทั้ง 2 พันธุ์นี้ต่างก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน

1. พันธุ์โรงเรียนหรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเงาะนาสาร เพราะถิ่นกำเนิดอยู่ในอำเภอนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นเงาะที่มีคุณภาพดี เป็นที่นิยมของผู้บริโภคและเป็นที่ต้องการของตลาด ราคาสูงกว่าเงาะพันธุ์อื่น ผลสีแดงสด โคนขนแดงปลายขนมีสีเขียว เนื้อหนาแห้งและล่อนออกจากเมล็ดได้ง่าย ถูกรสนิยมของผู้บริโภคมาก เป็นพันธุ์ที่ตอบสนองต่อปุ๋ยได้ดี ข้อเสียของเงาะพันธุ์โรงเรียนก็คือ ไม่ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ หากขาดน้ำในช่วงติดผลอ่อนจะทำให้ผลแตกและร่วงหล่นเสียหายมากกว่าพันธุ์สีชมพู ปลูกกันมากในจังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราชและจังหวัดอื่นๆ ทางภาคใต้ ส่วนทางภาคตะวันออกแถบจังหวัดจันทบุรีและระยองก็มีการปลูกเงาะพันธุ์นี้ด้วยเช่นกัน
2. พันธุ์สีชมพู เป็นพันธุ์ที่ปลูกกันมากในจังหวัดจันทบุรีและระยอง เป็นพันธุ์ที่ปลูกง่าย มีการเจริญเติบโต ดูแลรักษาง่าย โรคแมลงรบกวนน้อยมาก ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศได้ดี เป็นพันธุ์ที่ให้ผลดกมาก สีผิวของผลเมื่อสุกเป็นสีชมพูแดง ขนยาว ขนาดผลปานกลาง เนื้อหนา หวานกรอบ ฉ่ำน้ำ ข้อเสียคือบอบช้ำได้ง่าย ไม่ทนทานต่อการขนส่ง และราคาค่อนข้างต่ำ เนื่องจากไม่เป็นที่ต้องการของตลาดในบางแห่ง

การขยายพันธุ์
การขยายพันธุ์เงาะสามารถทำได้หลายวิธีเช่นเดียวกับการขยายพันธุ์ไม้ผลอื่นๆ ทั่วไป ทั้งการขยายพันธุ์แบบใช้เพศและไม่ใช้เพศ เช่น การเพาะเมล็ด การตอน การทาบกิ่ง และการติดตา แต่ในปัจจุบันนิยมการขยายพันธุ์โดยวิธีการติดตา ซึ่งในที่นี้จะกล่าวเฉพาะการเพาะเมล็ดและการติดตาเท่านั้น
การเพาะเมล็ด การขยายพันธุ์เงาะด้วยวิธีนี้มีข้อดีคือ ทำได้ง่าย ได้ต้นที่เจริญเติบโตแข็งแรงดี ข้อเสียคือ การให้ผลจะช้ากว่าการขยายพันธุ์ด้วยวิธีอื่น และมีโอกาสกลายพันธุ์ได้มาก

การคัดเลือกเมล็ดควรได้จากต้นที่สมบูรณ์แข็งแรง ให้ผลดก รสชาติดี ออกดอกสม่ำเสมอทุกปี โดยเลือกเมล็ดที่มีขนาดใหญ่และแก่เต็มที่ แล้วนำมาล้างน้ำเพื่อให้เนื้อและเมือกที่ติดมากับเมล็ดออกให้หมด ผึ่งแดดให้แห้งแล้วนำไปเพาะทันทีเพราะเมล็ดจะมีเปอร์เซ็นต์ความงอกสูง แต่ในทางที่ดีเมื่อล้างเมล็ดสะอาดแล้ว ควรได้แช่เมล็ดลงในน้ำกำจัดเชื้อราเสียก่อน นำเมล็ดไปเพาะในกระบะเพาะโดยใช้วัสดุเพาะที่มีความร่วนซุยและชื้นเพียงพอ เช่น ขุยมะพร้าว ขี้เถ้าแกลบ หรือทราย หลังจากการเพาะประมาณ 2 – 3 อาทิตย์ เมล็ดจะเริ่มงอก ถ้าเป็นการเพาะในกระบะเมื่อมีใบจริงแตกออกมา 4 – 6 ใบ ก็ทำการย้ายลงไปปลูกในถุงพลาสติกที่บรรจุดินผสมกับปุ๋ยคอกและทรายในอัตราส่วน 2:1:1 แล้วนำไปดูแลรักษาในเรือนเพาะชำจนมีความแข็งแรงพอ แล้วจึงย้ายลงไปปลูกในแปลงปลูกหรือนำไปเป็นต้นตอในการติดตาต่อไป อย่างไรก็ตามในระหว่างการเพาะหรือนำไปเลี้ยงในเรือนเพาะชำ จะต้องมีการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอแต่อย่าให้แฉะ เมื่อต้นโตแล้วขึ้นมาและควรเปิดหลังคาที่กำบังแสงออกให้ได้รับแสงบ้างตามสมควร

การติดตา
การขยายพันธุ์แบบติดตาเป็นที่นิยมทำกันทั่วๆ ไป เนื่องจากกิ่งพันธุ์เพียงกิ่งเดียวสามารถทำการขยายพันธุ์ได้หลายต้น ให้ผลเร็ว มีอายุไม่ยืน ไม่กลายพันธุ์ ต้นจะเป็นพุ่มกว้างไม่สูงนัก สะดวกในการเก็บเกี่ยวผลผลิตป้องกันและกำจัดโรคแมลงได้ง่าย และง่ายต่อการตัดแต่งกิ่งอีกด้วย ตาพันธุ์ที่ดีใช้ในการติดตาควรเตรียมไว้ให้เรียบร้อย โดยตัดหรือตอนปลายกิ่งที่จะใช้ตาออกเสียก่อนประมาณ 10 – 15 วันเพื่อให้เร่งให้ตาที่เหลือเจริญออกมาเร็วขึ้น สำหรับต้นตอได้มาจากการเพาะเมล็ดซึ่งควรปลูกอยู่ในแปลงชำหรือในสวนแล้ว มีอายุประมาณ 1 ปี หรือลำต้นโตขนาดแท่งดินสอดำเป็นอย่างน้อย ไม่แก่หรือใหญ่จนเกินไปจนลอกเปลือกไม่ออก ก่อนที่จะทำการติดตาให้ตัดกิ่งข้างออกให้หมดเหลือไว้แต่กิ่งยอดตรงๆ ริดใบที่โคนต้นบริเวณที่จะทำการติดตาออก ส่วนฤดูที่เหมาะต่อการติดตาคือ ฤดูฝน

วิธีการติดตามีขั้นตอนดังนี้
1. กรีดต้นตอให้ถึงเนื้อไม้ยาวประมาณ 1.5 นิ้ว จำนวน 2 รอยห่างกันประมาณ 1 เซนติเมตร โดยให้รอยกรีดสูงจากดินโคนต้นประมาณ 3 นิ้ว แล้วกรีดขวางด้านบนระหว่างรอยกรีดทั้งสองแล้วลอกเปลือกออกตามรอยที่กรีดไว้ ตัดเปลือกต้นตอที่ลอกออกนั้นให้เหลือไว้ทางด้านล่างประมาณ 1 ใน 3 เพื่อรองรับแผ่นตาที่จะนำมาติด

2. เฉือนกิ่งตาให้เป็นรูปโล่ยาวประมาณ 1.5 นิ้ว ลอดเนื้อไม้ออกจากแผ่นตา แล้วนำแผ่นตาสอดลงไปในแผลของต้นตอที่เตรียมไว้

3. พันด้วยผ้าพลาสติกให้แน่นทิ้งไว้ประมาณ 21 – 30 วัน หากแผ่นตายังเป็นสีเขียวอยู่แสดงว่าการติดตาให้ผลดี จึงให้ทำการกระตุ้นตาโดยใช้มีดบากเหนือรอยแผลประมาณ 1 นิ้ว และต้องบากให้ลึกเข้าไปถึงเนื้อไม้ เมื่อตาที่ติดเจริญขึ้นมาเล็กน้อยให้ตัดยอดของต้นตอออก โดยตัดใต้รอยบาก แล้วจึงนำไปดูแลรักษาในเรือนเพาะชำให้แข็งแรงจึงนำไปปลูก



ข้อมูลจาก http://www.giswebr06.ldd.go.th/lddweb/knowledge/plant/rambutan/1.html


22 พ.ค. 2557 เวลา 12:12 | อ่าน 5,647
กำลังโหลด ...


รีวิวบ้านใหม่ ไอเดียสร้างบ้าน
 
แชร์
L
ซ่อน
แสดง
มาใหม่
ครม.เคาะเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรเป็น 1,000 บาท เริ่ม 1 ม.ค.2568
23 17 ธ.ค. 2567
สอบภาค ก. ปี 2568 กำลังจะมาแล้วว เตรียมตัวกันให้พร้อม
90 17 ธ.ค. 2567
ธ.ก.ส. ออกมาตรการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรชาวใต้ เลื่อนเวลาชำระหนี้สูงสุดไม่เกิน 1 ปี และไม่คิดดอกเบี้ยปรับเกษตรกรแจ้งความประสงค์ได้ที่ ธ.ก.ส ในพื้นที่ ถึง 31 มกราคม 2568
659 5 ธ.ค. 2567
แจ้งข่าวดีชาวไร่อ้อย เริ่ม 6 ธ.ค. นี้ ภาคตะวันออกและภาคอีสานเปิดหีบอ้อยน้ำตาลทรายที่แรก ก่อนทยอยเปิดภาคเหนือภาคกลาง คาดจำนวนอ้อยเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 13.40%
623 5 ธ.ค. 2567
ทุนสำหรับบุคคลทั่วไประดับปริญญา ประจำปี 2568 (ทุน ก.พ.)
132 2 ธ.ค. 2567
ดวงกับดาวประจำวันที่ 1-7 ธันวาคม
73 1 ธ.ค. 2567
การปรับอัตราค่าตอบแทนแรกบรรจุและการปรับค่าตอบแทนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของพนักงานราชการ (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566)
183 1 ธ.ค. 2567
รัฐบาลเดินหน้าสร้างโอกาสทำงานวัยเกษียณ จับมือ 16 ธุรกิจเอกชน เปิดตำแหน่งงานกว่า 4 พันอัตราทั่วประเทศ สมัครได้ที่เว็บไซต์
652 28 พ.ย. 2567
รองโฆษกรัฐบาล เผยค่าไฟ 4.15 บาท ต่ำกว่าข้อเสนอของ กกพ. ถึง 1.34 บาท ย้ำ “พีระพันธุ์” ต่อรองเต็มที่ เพื่อเป็นของขวัญจากรัฐบาลและ ก.พลังงาน
850 28 พ.ย. 2567
ระเบียบคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ว่าด้วยเงินค่าตอบแทนพิเศษของลูกจ้างสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2557
120 25 พ.ย. 2567
ดูเพิ่มเติม
 
หาเพื่อนไลน์
ไอเดียบ้านสวย
เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์
หางานราชการ
  English
TOEIC กับ การขึ้นเงินเดือน GED VS กศน ไทย (สอบเทียบไทย) แนะนำที่เรียน IELTS ยอดนิยม ของ เด็กอินเตอร์ TOEIC Online GED CU-TEP SAT
 
บทความกลุ่มเดียวกัน
กำลังโหลด ...